ลพ.โฉม เขาปฐวี ครูบาน้อย บ้านปง

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,400
    ค่าพลัง:
    +21,404
    1752585052704.jpg

    พระสมเด็จสาลีโข รุ่น ๑ พระครูนนทสีลาภรฌ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดสาลีโขภิตาราม จ.นนทบุรี สร้างในปีพ.ศ. ๒๕๑๔ องค์หลวงพ่อสมภพหลวงพ่อสาลีโขร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสก
    ประวัติหลวงปู่เผือก วัดสาลีโข : คลิ๊ก
    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงพ่อสมภพ เตชปุญโญ (หลวงพ่อสาลีโข)
    หลวงพ่อสมภพ เตชปุญโญ (หลวงพ่อสาลีโข)
    วัดสาลีโขภิตาราม อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

    หลวงพ่อสมภพ มีความเคารพศรัทธาในหลวงปู่เผือกมาก จึงได้สร้างเหรียญรุ่นแรกขึ้น เมื่อปี ๒๕๑๐ นับเป็นเหรียญที่สร้างชื่อเสียงให้กับหลวงพ่อสมภพมาก ทำให้มีลูกศิษย์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศ
    ต่อมา หลวงพ่อได้สร้าง "พุทธอุทยานธรรมโกศล" ขึ้น ต.หน้าไม้ อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี เมื่อประมาณ ๒๕ ปีก่อน ทุกวันนี้มีถนนสายปทุมธานี-บางเลน ตัดผ่าน ตรงหลักกม.๑๙ จากตัวเมืองปทุมธานี
    ขณะนี้ หลวงพ่อสมภพ ได้ละสังขารมรณภาพ เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ด้วยโรคไตวายเฉียบพลัน สิริรวมอายุ ๖๙ ปี
    ข้อมูลอ้างอิง : http://www.pra.kachon.com/pra/detail.asp?id=967
    บทความลงวันที่: 14/1/2013

    หนึ่งในบทความที่กล่าวถึง หลวงพ่อสาลีโข (ยกมาเพียงบางส่วน)
    หลวงพ่อสมภพ เตชปุญโญ (หลวงพ่อสาลีโข)
    ฉันให้ของที่ดีกับพวกเธอ ขอให้พวกเธอได้นำภาชนะชั้นดีมารองรับไว้ ภาชนะที่ว่านั้นคือ ศีล.....
    หลวงพ่อสมภพ เตชะปุญโญ หรือหลวงพ่อสาลีโข แห่งพุทธอุทยานธรรมโกศล จังหวัดปทุมธานี ท่านเป็นพระคณาจารย์องค์หนึ่งของเมืองไทย ที่มีคนเคารพกราบไหว้และนับถือในเรื่องของวิชาอาคมอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีคตินิยมในแนวทางนี้
    ครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อสมภพมีหลายองค์ องค์ที่เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาอาคมให้หลวงพ่อ คือปฐมสมภารวัดสาลีโข นามว่า”หลวงปู่เผือก ธัมมะโกศล” หลวงปู่เผือก เป็นพระในสมัยกรุงศรีอยุธยายังคงเป็นเมืองหลวงของไทย
    หลวงปู่ท่านได้รับความเชื่อถือว่ามีความเชี่ยวชาญด้านกรรมฐานตลอดจนมีวิชาอาคมแก่กล้า โดยท่านได้ศึกษามาจากสำนักวัดป่าแก้ว
    องค์ต่อมาคือ”หลวงพ่อจำปา นารโท” อดีตเจ้าอาวาสวัดสาลีโข หลวงพ่อจำปาท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท หลวงปู่ศุข ท่านเป็นพระในยุครัตนโกสินทร์ ในสมัยท่านยังมีชีวิต สำนักวัดปากคลองมะขามเฒ่า เป็นแหล่งฝึกวิทยายุทธชั้นดีของเมืองไทยทีเดียว
    หลวงพ่อจำปาได้สืบทอดวิชาสายวัดปากคลองมะขามเฒ่า โดยได้เปิดการสักยันต์ขึ้นที่วัดสาลีโข ด้วยวิชาอาคมที่ขลังและเห็นผลประจักษ์ ทำให้วัยรุ่นในสมัยนั้นแห่มาเป็นลูกศิษย์เพื่อรับการสักยันต์จากท่านเป็น จำนวนมากพอสมควร
    จนกระทั่งทางการได้เพ่งเล็งว่าคนที่มีรอยสักมักเป็นคนที่ชอบเกเรและไม่ใช่คนดี จึงได้เข้าปราบปรามและเข้มงวดกับพระภิกษุสงฆ์ที่เป็นอาจารย์สัก หลวงพ่อจำปาจึงได้ลงเรือและหลบเข้าไปจำพรรษาอยู่ในทุ่งในสวน และเลิกสักในเวลาต่อมา
    ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลวงพ่อสมภพ เตชะปุญโญ ท่านจะเชี่ยวชาญอักขระและคาถาอาคม จากทั้งสายวัดป่าแก้วและวัดปากคลองมะขามเฒ่า..
    ซึ่งหลวงพ่อมักจะเล่าให้พวกเราฟังเสมอๆว่า ท่านเป็นพระที่โชคดีจริงๆ ที่ได้เกิดมาเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เผือกและหลวงพ่อจำปา ปัจจุบันทั้งหลวงปู่เผือกและหลวงพ่อจำปา ท่านได้มรณะภาพล่วงหน้าหลวงพ่อสมภพ ไปนานแล้วครับ...
    ในสมัยที่หลวงพ่อสมภพท่านยังมีชีวิตอยู่ มักจะมีผู้ที่เคารพศรัทธาในตัวท่านเดินทางไปกราบนมัสการท่านเพื่อความเป็น สิริมงคลอยู่เสมอๆ แต่เนื่องจากหลวงพ่อท่านมีสุขภาพไม่แข็งแรง อุปนิสัยไม่ชอบให้ใครรบกวนและชอบที่จะอยู่อย่างสงบๆในสมณะเพศ
    หลายคนจึงอาจผิดหวังในยามที่ไปแล้วไม่ได้กราบนมัสการท่านหรือไปแล้วเจอท่านแต่ ไม่ได้รับวัตถุมงคลจากมือของท่าน เรื่องนี้มีที่มาที่ไปและความหมายครับ หลวงพ่อเคยบอกผมว่า
    หลวงพ่อสมภพ เตชปุญโญ (หลวงพ่อสาลีโข)“การที่ท่านจะให้ของขลังแก่ใครหรือจะทำสิ่งใดให้ใคร ท่านจะต้องดูความเหมาะสมหรือดูฤกษ์ยามในการให้ที่ดี...”
    ลักษณะอุปนิสัยนี้มีอยู่ในตัวท่านจนถึงวันที่ท่านมรณภาพ....
    ข้อมูลอ้างอิง : http://www.oknation.net/blog/sitthi/2008/11/28/entry-1
    บทความลงวันที่: 14/1/2013

    1752584100525.jpg
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 500 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาท
    (ปิดรายการ)
    IMG_20250715_194954.jpg
    IMG_20250715_195015.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2025 at 16:44
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,400
    ค่าพลัง:
    +21,404
    FB_IMG_1752585603885.jpg

    หนึ่งในเกจิ ๑๖ รูปในพิธีจตุรพิธพรชัยที่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึง
    หลวงปู่ดู่_วัดสะแก ยกย่องท่านว่าเป็นพระอรหันต์ ในวันที่หลวงพ่อไวทย์ ท่านมรณะภาพไปแล้ว หลวงปู่ดู่ท่านยังกล่าวให้ศิษย์ไปเอาน้ำที่รดน้ำศพสังขารองค์ท่าน มาอาบกิน เพื่อความเป็นสิริมงคล
    หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย บอกหลวงพ่อไวย์เสกของได้ขลังที่สุด
    หลวงพ่อพูน วัดบ้านแพน บอกในอยุธยา หลวงพ่อไวย์ท่านเก่งสุดๆในแทบนั้น
    หลวงพ่อไวย์ ท่านเป็นศิษย์สุดยอดเกจิอาจารย์3ทหารเสือแห่งเมืองอยุธยา
    - หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
    - หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก
    - หลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ดใน
    หลวงพ่อไวทย์ อินทวังโส ท่านเป็นสหายกับ หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย, หลวงพ่อวาสน์ วัดบ้านแพน หลวงพ่อปี วัดกระโดงทอง และหลวงพ่อกุหลาบ วัดรางจระเข้
    หลวงพ่อไวย์ ท่านยังเป็นอาจารย์ของพระเกจิอาจารย์หลายยุคจนถึงยุคปัจจุบัน อาทิ หลวงพ่อแม้น วัดหน้าต่างนอก,หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว,หลวงพ่ออาด วัดบุญสัมพันธ์,หลวงปู่ธูป วัดลาดน้ำขาว และอีกหลายท่าน เป็นต้น
    หลวงพ่อไวทย์ อินทวังโส "สมภาร 3 วัด "
    -วัดบางซ้ายใน,
    - วัดสุทธาโภชน์ ,
    - วัดบรมวงศ์อิศรวราราม จ.อยุธยา
    หลวงพ่อไวทย์ ท่านเป็นพระที่ยิ้มแย้มตลอดเวลา ไม่เคยดุ ไม่เคยด่า ใจดี เป็นพระที่สมถะเป็นอย่างมาก ขนาดท่านเป็นถึงเจ้าคณะจังหวัด แต่กุฏิของท่านก็ยังคงเป็นเพียงกุฎิเล็ก ๆ เล็กขนาดที่ว่า คนที่สูง ๆ ยืนนี่หัวชนเพดาน หลวงพ่อไวทย์ เป็นพระเกจิมากครู มากอาจาย์
    วิชาดูดวง วิชาผูกดวงชะตา เป็นหนึ่งในวิชาที่ท่านชำนาญ สมเด็จพระสังฆราชอยู่ วัดสระเกศ ฯลฯ ท่านได้ สอนวิชาเหล่านี้ให้กับ หลวงพ่อไวทย์
    นอกจากวัตถุมงคลของท่านแล้ว ของดีอีกอย่างก็คือ "ยาไวทย์ประสิทธิ์" แต่ชาวบ้านจะเรียกว่า "ยาลมหลวงพ่อไวทย์"คล้ายยา วาสนาจินดามณี ของสายวัดกลางบางแก้ว นครปฐม ยาไวทย์ประสิทธิ์ จึงเปรียบเสมือนดั่ง ยาจินดามณี ฉบับจังหวัดอยุธยา (วัตถุมงคลเนื้อผงของท่าน ก็มียานี้ผสมอยู่)
    หลวงพ่อไวทย์ได้ตำรายาดีมาจาก หลวงพ่อชื่น วัดสระเกศ เป็นพระอาจารย์เรืองวิทยาคมสูงล้ำ และมีความเชี่ยวชาญทางด้านแพทย์แผนโบราณอย่างลึกซึ้ง พำนักอยู่คณะ 11 เช่นกัน ท่านไม่ค่อยชอบแสดงตัว จึงไม่มีใครค่อยรู้จักชื่อเสียงของท่านแต่อย่างใด หลวงพ่อชื่น มีความเมตตาต่อหลวงพ่อไวทย์มากถ่ายทอดวิชาความรู้ต่างๆ ให้โดยไม่ปิดบัง
    ตำรายาจินดามณี ยาวาสนา น่าจะมาจากแหล่งวิชาเดียวกัน หลวงพ่อทองอยู่ วัดท่าเสา กระทุ่มแบน สมุทรสาคร เรียนวิชาจากพระอาจารย์ของท่าน ที่เป็นน้องชายหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว เลยได้วิชายาวาสนา
    หลวงพ่อไวทย์ อินทวังโส ท่านเป็นสหายกับ หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย, หลวงพ่อวาสน์ วัดบ้านแพน หลวงพ่อปี วัดกระโดงทอง และหลวงพ่อกุหลาบ วัดรางจระเข้
    หลวงพ่อไวทย์ ท่านอยู่มาหลายวัด ท่านนอกจากเป็นพระเกจิ ก็ยังเป็นพระนักพัฒนา ไปอยู่วัดไหนก็จะไปสร้างพระพุทธรูป ไปพัฒนาวัดนั้น จนเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้านแถบละแวกวัดนั้นๆ ที่ไปอยู่ อาทิ อยู่วัดสุธาโภชน์ (เสนา) ก็ไปสร้างวัด สร้างโรงเรียน ครั้งหนึ่งก็ไปอยู่ วัดบางซ้ายใน สร้างวัดจนเจริญ ชาวบ้านในแถบนั้นรักและนับถือท่านมาก
    สุดท้ายบั้นปลายของท่านก็ได้มาอยู่ วัดบรมวงศ์ได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าคณะ จังหวัดอยุธยา แต่ท่านก็ยังใช้ชีวิตแบบธรรมดาๆ ไม่ถือตัว ใจดียิ้มแย้มกับทุกคน
    ครั้งหนึ่งเคยมีคนถาม หลวงพ่อไวยท์ ว่า พระหรือวัตถุมงคลใดดีทีสุด หลวงปู่ท่านนิ่ง แต่แม่ชีอุปฐาก(ใครทันกราบท่าน น่าจะรู้จักแม่ชี รูปนี้ดี) บอกว่าให้หา เหรียญรุ่นแรกที่แตกๆ ไว้ เพราะหลวงปู่ท่าน เสก แรงไปหน่อย โบสถ์ลั่น กล่องใส่แตก และเหรียญบางเหรียญ ร้าวเลย ให้หาเหรียญนั้นไว้นะ
    หลวงปู่ ท่านก็ยิ้มๆ แล้วพูดเชิงเย้าแหย่ จริงไม่จริงไม่รู้ บอกว่า อืม เสกแรงไปหน่อย เป็นรุ่นแรก กลัวไม่ขลัง แล้วท่านก็ยิ้ม ๆ ตามประสาของท่าน (ใครไปกราบท่าน ไม่เคยมีใครเห็นท่านทำหน้าบึ้งใส่เลย ท่านจะยิ้ม ตลอดเวลา)
    เคยมีผู้ถาม หลวงพ่อไวทย์ว่า พระอยุธยาสมัยก่อนใครเก่ง ท่านบอกเก่งหลายองค์หลวงพ่อปาน หลวงปู่กลั่น หลวงพ่อขัน ฯลฯ แต่ที่เรียนสมาธิ กรรมฐาน อยู่กับท่านนานสุด ก็หลวงพ่อจง หลวงพ่อจง ท่านเสกตะกรุดเล็กๆ ลอยน้ำ วิ่งวนรอบขัน ท่านยังให้ไว้ดอกหนึ่งเลย หลวงปุ่ไวทย์ท่านเหน็บตะกรุดหลวงพ่อจง ไว้จนมรณภาพ
    ในตอนที่หลวงพ่อไวทย์ ไปขอเรียนวิชาจากหลวงพ่อจง ท่านเคยถูก หลวงพ่อจง ตำหนิ ตอนไปขอเรียนวิชาจากท่าน ท่านว่าคุณอยู่กับพระทองคำมาตั้งนาน แต่ไม่ขอเรียนอะไรมาจากท่านเลย หลวงพ่อห่วง น่ะ!!! ท่านเป็นพระอรหันต์ (หลวงพ่อห่วง วัดบางยี่โท เป็นศิษย์พี่ ของหลวงพ่อจง เรียนวิชามาจากอาจารย์เดียวกัน คือ หลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสคันธ์ พระอภิญญาบารมี แห่งทุ่งบางบาล สหายของหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ)
    หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ยังกล่าวชื่นชม ยกย่อง หลวงพ่อไวทย์ ว่าเป็นพระที่ปฏิบัติดี ปฎิบัติชอบ ท่านเป็นพระอรหันต์ ในวันที่หลวงพ่อไวทย์ ท่านมรณะภาพไปแล้ว หลวงปู่ดู่ท่านยังกล่าวให้ไปเอาน้ำที่ราดศพสังขารองค์ท่าน มาอาบกิน เพื่อความเป็นสิริมงคล
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ประสบการณ์พระเครื่องหลวงพ่อไวทย์
    ขอขอบคุณเจ้าของเรื่องด้วยครับ
    "โจรปล้นบ้าน"
    คุณลุงโอด สุผล อยู่บ้านเลขที่ 9 ม.6 ต.บ้านเกาะ อ.พระนครศรีอยุธยา เล่าว่า "เมื่อก่อนมีฐานะยากจนมาก อาศัยชอบที่มีใจชอบทำบุญที่วัดบรมวงศ์ฯเป็นประจำ ฐานะก็ดีขึ้นตามลำดับจนสามารถส่งเสียลูกๆเรียนถึง นายแพทย์ พยาบาล และเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรหลายคน" "พอหลวงพ่อไวทย์ มาเป็นเจ้าอาวาส ก็เลื่อมใสในปฏิปทาของท่าน จึงฝากตัวเป็นศิษย์มาจนบัดนี้" ผู้เขียนถามถึงของดี คุณลุงโอดตอบโดยไม่ต้องคิดว่า "ของหลวงพ่อไวทย์ใช้ได้ดีทุกด้าน โดยเฉพาะทางเมตตาดีจริงๆ นอกจากนี้ยังมีประสบการณ์ทางด้านคงกระพันแคล้วคลาดสูงอีกด้วย" และกรุณาเล่าประสบการณ์ที่พบกับตนเองต่อไปว่า "เมื่อปี พ.ศ.2522 หลังจากที่ได้รับแจกเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อไวทย์ไปแล้ว ตกดึกของคืนวันนั้นมีโจรปล้นบ้าน โดยยิงปืนขู่ก่อน 2 นัด จึงตกใจกระโดดขึ้นคว้าปืนสู้ พวกโจรเลยกราดยิงเอ็ม 16 ยิงพรุนหมดทั้งฝาบ้าน เดชะบุญที่ลูกปืนไม่ถูกผู้ใดในบ้านเลยแม้แต่น้อย! นับเป็นบารมีของหลวงพ่อไวทย์ที่ช่วยให้ทุกๆคนแคล้วคลาดโดยแท้...!"
    (ขอขอบคุณข้อมูลจาก ส.สมบูรณ์ หนังสือพระเครื่องลานโพธิ์ และครอบครัว"สุผล")
    ...........
    ........ "#รถทับเด็กไม่ตาย" .........
    ..... คุณส่งเสริม สุภาเพียร อยู่บ้านเลขที่ 80 ม.4 ตลาดสวนมะเดื่อ ต.ห้วยขุนราม อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ซึ่งพาครอบครัวมากราบนมัสการหลวงพ่อไวทย์เล่าว่า เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2525 วันหนึ่งที่ตนขับรถปิคอัพออกไปส่งผลไม้ตามปกติ หลานชายชื่อ ด.ช.อภิเชษฐ์ (อายุ 4 ปี) วิ่งตามมาล้มลงเข้าไปใต้ท้องรถ ตนเองออกรถแล้วรู้สึกว่า รถวิ่งข้ามอะไรสักอย่างหนึ่ง พอดีได้ยินเสียงภรรยาร้องเสียงหลงอยู่ท้ายรถจึงรู้ว่า ทับหลานชายเข้าให้แล้วรีบดับเครื่องลงจากรถแล้วพาเด็กไปส่งโรงพยาบาลเพราะเห็นว่า "รอยยางล้อทับท้องเด็ก อย่างเห็นได้ชัด" นายแพทย์ที่โรงพยาบาลตรวจดูอาการแล้วยังไม่เชื่อว่าเด็กถูกรถทับ เพราะเด็กไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆทั้งสิ้นเลยแม้เเต่น้อย ภรรยาคุณส่งเสริมกล่าวยืนยันว่า "ตนเองวิ่งตามหลานออกมาเห็นล้มลงใต้ท้องรถแล้วล้อก็ทับข้ามไป" "ยังคงคิดว่าหลานชายคงตายแน่แล้ว" "แต่เด็กก็ไม่ได้ร้องสักแอะเดียว พอรถข้ามไปแล้วก็ลุกขึ้นเฉย" เมื่อคุณส่งเสริมเห็นรอยล้อบนหน้าท้อง จึงรีบพาส่งโรงพยาบาล ดังนั้น จะเป็นอื่นไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เกิดจากอนินิหาร "เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อไวทย์" ที่คุณส่งเสริมให้หลานชายไว้ห้อยคออยู่เพียงเหรียญเดียวเท่านั้น ที่ช่วยให้ ด.ช.อภิเชษฐ์รอดชีวิตราวปาฏิหาริย์ ขณะนั้นหลวงพ่อไวทย์ได้เล่าขึ้นว่า "มันก็ขำๆ อยู่เหมือนกัน เจ้าเสริมเขาพาหลานมาให้ฉันรับขวัญ ฉันยังกระเซ้าเด็กมันว่าทำไมรถทับไม่เป็นอะไร เด็กมันตอบว่า ...รถมันเบา..." ว่าแล้วท่านก็หัวเราะชอบใจอย่างผู้มีอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา ....
    (ข้อขอบคุณข้อมูลจาก ส.สมบูรณ์ หนังสือพระเครื่องลานโพธิ์ และครอบครัว"สุภาเพียร")

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    สมเด็จพระพุทโธ ปรกโพธิ์ รุ่น ๑ ปี๒๕๒๙ วัดบรมวงศ์ อ. เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250715_201843.jpg IMG_20250715_201904.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2025 at 20:52
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,400
    ค่าพลัง:
    +21,404
    1751041289876-jpg.jpg

    ผูู้สืบทอดยันต์ อะ ปะ จะ คะ ของหลวงพ่อเฒ่า วัดคังคาว
    หลวงพ่อป่วน ทั้งเหรียญเเละพระผงของท่าน จะใช้คาถานี้ของหลวงพ่อเฒ่าตลอด
    ท่านมีความสนิทสนม เเละเคารพหลวงพ่อกวยมาก
    พระเครื่องยุคเก่าๆของท่าน มักนิมนต์หลวงพ่อกวยมาช่วยเสกเสมอ
    เเต่ตัวท่านเองนั้น ก็เก่งไม่เเพ้ใคร ตะกรุดโทนของท่าน เค้าว่าสมัยก่อน เอ็มสิบหก ยิงยังไม่ออก
    รูปหล่อของท่าน ทหารโดดร่มไม่กาง ตกมาไม่ตาย
    พระดี พระเก่ง อีกหนึ่งของอ.สรรคบุรีครับ
    ขอบพระคุณข้อมูลจาก เวป http://www.watkositaram.com
    Chatchai Intano
    19 ตุลาคม 2018 ·
    ว่ากันด้วยเครื่องราง ของหลวงพ่อป่วน เครื่องราง หลวงพ่อป่วน การสร้างน้อย มีจัดสร้างอยู่ สามอย่าง
    คือ ผ้ายันต์ กระกรุดโทน และปลัดขิกทำจากไม้พญางิ้วดำ
    กระกรุดโทนสร้างมาแต่ไม่ถึง 200 ดอก
    มีการสร้างสองรุ่นคือ รุ่นแรกปี2532 สร้าง จำนวน 72 ดอก เท่าอายุหลวงพ่อและกระกรุดรุ่นสอง สร้างจำนวน100 ดอก ในพิธีเสาร์ห้า ปี 2535 ปัจจุบันหาชมได้อยาก
    เดียวว่างจะมาเล่ารายอะเอียด
    ให้ฟังอีกที่ ส่วนปลัดขิก สร้างวาระเดียว ปี 2532 เนื้อไม้พญางิ้วดำ..จำนวนการสร้างน้อยมากมีทั้งใหญ่และเล็ก ขนาดใหญ่จะยาวประมาณ 2นิ้วครึ่ง
    และขนาดเล็กจะยาว ราวๆ2นิ้ว...
    จำนวนการสร้างมีไม่เกิน 100 ตัวทั้งใหญ่และเล็กรวมกัน.เนื่องจากไม้ที่หลวงพ่อได้มานั้น เป็นไม้งิ้วดำเก่า อายุหลายร้อยปี...
    เปลือกไม้พุป่น จึงไม่สามารถทำได้เยอะ
    ทำได้แค่ในเนื้อไม้ชั้นใน จึงทำให้ได้จำนวนการสร้างน้อย บางคนที่อยู่ในเหตุการ ในสมัยนั้นบอกจริงมีประมาณ 70-80 ตัวเท่านั้น......เดียวว่างๆจะถ่ายรูปสวยๆให้ชมครับ
    เข้าเรื่องเลยล่ะกัน วันนี้จะมาเล่าเรื่องราว
    เกียวกับผ้ายันต์ รุ่นต่างๆ
    ผ้ายันต์หลวงพ่อป่วน จัดสร้างสองวาระ
    วาระแรก สร้างปี 2532 เนื่องในงานทำบุญครบ 6 รอบ 72 พรรษา....ออกจำหน่าย ในงานวัด ช่วงเดือนตุลาคมตรงวันเกิดหลวงพ่อ ถือเป็นงานใหญ่ของวัดเป็นงานประจำปี ออกจำหน่ายพร้อมวัตถุมงคลอีกหลายรุ่นในปีนั้น ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จผงใบลาน ซื้งสร้างมาก่อนนั้น เพราะสมเด็จผงใบลานสร้างมาแต่ปี2525 เรื่อยมา จนถึงปี2532
    เดียวมา
    เล่าให้ฟังที่หลังเรื่องสมเด็จ. วันหลัง
    นอกนั้นยังมีเหรียญกลมรุ่นปลอดภัย สร้างปีเดียวกัน สมเด็จหลังรูปรุ่นทรัพย์ทวี ตระกรุดรุ่นแรก รูปหล่อบูชาหน้าตัก5นิ้ว รูปหล่อรุ่นแรก(เอ็ม16) ..
    ส่วนวาระ2 ผ้ายันต์ออกจำหน่ายในปี 2535 ผ่านพิธีเสาร์ห้า ถึง3ครั้ง มีสองแบบ แบบเเรกคือใช้บล็อคเดิม ของปี2532 แต่เปลี่ยนจาก คำว่าทำบุญวันเกิดเป็น เสาร์ห้าปี 36 และแบบที่สองคือ ผ้ายันต์ อะปะจะคะ ค่ายกล ตำหรับ หลวงพ่อเฒ่า วัดคังคาว ซึ่งหลวงพ่อป่วน บวชที่วัดคังคาว และได้เล่าเรียนสายวิชา อะปะจะคะ จากอุปชาของท่านคือ หลวงพ่อพระอุปชาสอน ท่านจึงสร้างผ้ายันต์รุ่นนี้ขึ้นเป็นการบูชาครู ระลึกถึงหลวงพ่อเฒ่า และหลวงพ่อสอนพระอุปชา......และในฐานะศิษย์สายตรง อะปะจะคะ...
    หลังจากนั้นหลวงพ่อก็ไม่สร้างวัตถุมงคลใดอีกเลยเนื่องจาก อาพาทหนัก วัตถุมงคลที่สร้างแล้วทั้งในวาระที่2 ที่เขียนปี2536
    ทั้งหมดแท้จริงคือสร้างในปี 2535 ทั้งสิ้น
    แต่ทางกรรมการวัดในสมัยนั้น ตั้งใจจะให้ออกจำหน่าย ในงานครบรอบวัดเกิดหลวงพ่อ ในวันที่15 ตุลาคม ปี2536.
    ซึ่งตรงกับวันเกิดหลวงพ่อและเป็นงานประจำปีของวัด....แต่หลวงพ่อท่านสังขราไม่่ไหว จึงให้ออกจำหน่าย วัตถุมงคลบางส่วนในช่วงต้น เดือนมกราคม ปี2536และท่านก็รับแขกนั่งพูดคุยอยู่ด้วยได้ไม่นาน เช่นดังก่อน สุขภาพไม่ดี
    ภายหลังจากนั้นไม่นาน อาการหลวงพ่อทรุดหนัก และมรณะภาพลงด้วยอาการ
    สงบ ที่ รพ สิงห์บุรีเวชการ ในวันที่26 กุมภาพันธ์ 2536 สิริอายุ 76 พรรษา.

    fb_img_1751040376598-jpg.jpg
    ภาพเจิม พระหล่อรูปเหมือน ขนาดเท่าองค์จริง
    หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม(วัดบ้านแค)..ผมว่าหลายคนไม่เคยเห็นและไม่เคยรู้ พระองค์ที่กำลังเจิม คือหลวงพ่อป่วน วัดโพธิ์งาม องค์ที่ถือบาตรน้ำมนต์ หลังปะน้ำพุทธมนต์เสร็จ คือ หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ ..
    ..
    งงกันละสิ ภาพถ่ายนี้ ถ่ายในพิธีนี้ปี 2523. หลังจากหลวงพ่อกวย ละสังขารได้ครบปี ..จึงได้มีการเบิกเนตร และนิมนต์ พระเถระเกจิ ที่เป็นศิษย์ร่วมสำนักของหลวงพ่อกวย และเป็นพระเกจิ ที่ไปมาหาสู่กัน นับถือกัน ครั้งนั้น มีหลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่มอีกองค์...เหตุที่หลวงพ่อจวนไม่ได้ขึ้นมา คือสวดชะยันโตให้อยู่ และหลวงพ่อป่วนกับหลวงพ่อเชื้อ มีพรรษาแก่กว่า ถึงจะมียศศักดิ์พระครูเหมือนกันก็ตาม.
    ..
    ภาพนี้ถือเป็นภาพประวัติศาสตร์ อีกภาพหนึ่ง ผมเองสมัยเมื่อ10กว่าปีที่แล้ว คนที่เล่าให้ผมฟังคือ ลุงเกาะ ข้องหลิม แกคือผู้ที่ติดตามหลวงพ่อป่วน ในสมัยนั้น.
    แก่เสียไปเมื่อ สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมกลับไปอยู่.
    แก่เล่าให้สมัยก่อน หากมีกิจสำคัญ หลวงพ่อกวยจะไปไหนหลายวัน หรือมีช่วงที่หลวงพ่อไม่สบาย ช่วงปี 20-21 หลวงพ่อกวย จะเอากุญแจ กุฎิท่าน มาฝากกับหลวงพ่อป่วน เพราะไว้ใจหลวงพ่อป่วน หลวงพ่อกวยเรียกหลวงพ่อป่วนว่า พระครู แต่หลวงพ่อป่วนเรียกหลวงพ่อกวย ว่าหลวงพี่ หลวงพ่อกวยเป็นพระอธิการ ส่วนหลวงพ่อป่วน เป็นเจ้าคณะตำบลสมัยนั้น
    ..
    หลวงพ่อกวยกราบหลวงพ่อป่วนเวลาไปงาน แต่หลวงพ่อป่วนก็กราบหลวงพ่อกวยตอบ..เคารพกันเสมอมา..
    .
    ส่วนที่ผมบอกว่าหลวงพ่อเชื้อถือบาตรน้ำมนต์ ผมพิจารณามาพอสมควร จึงกล่าวได้เต็มปาก..ทรงหน้า หูตา ใฝ่ จมูก ชัดเจน เป็นหลวงพ่อเชื้อแน่ๆ หลวงพ่อเชื้อ กับหลวงพ่อป่วน มีลักษณะสูงโปร่ง พอๆกัน ตรงชัดเจนครับ..
    ..
    หลวงพ่อป่วนก็รู้จักหลวงพ่อเชื้อดี อาจเป็นศิษย์สำนักเดียวกันด้วย ดูจากรอยสัก แขนขวา เหมือนกัน พ่อกวย พ่อเชื้อ พ่อป่วน แต่ด้วยความเป็นพื้นที่ปกครอง สมัยนั้น บางขุด ดงคอน หลวงพ่อป่วนคุมจึง เป็นพระผู้เบิกเนตรเจิม พระหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อกวย ในมณฑปหลังเก่า แต่จริงก็ไม่ได้ยกไปไหน แต่ที่เห็นคือสร้างเติมขยายใหม่ ดังที่เราเห็นในปัจจุบัน.. ที่ไปกราบกันทุกวันนี้.
    ..
    ข้อมูลนี้หากเกิดประโยชน์แก่ผู้อ่านได้รับรู้ถึงความเป็นมา หากได้บุญกุศล
    ขอบุญนี้จงเกิดแก่ นายสมพร ข้องหลิม(ลุงเกาะ) ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ผู้ที่เล่าประวัติให้ผมฟังครับ..
    ..
    .หากสิ่งที่กล่าวที่เขียนไป ผิดพลาดประการใด ผมขอรับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียว....
    ..แชมป์ Chatchai Intano ...ขอบคุณครับ

    1384678-3a6d3.jpg

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลขึ้นมาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จปรกโพธิ์เสาร์ห้าปี๓๖หลวงพ่อป่วนวัดโพธิ์งาม

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250715_202701.jpg IMG_20250715_202749.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2025 at 20:51
  4. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    3,031
    ค่าพลัง:
    +5,729
    จองครับ
     
  5. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    3,031
    ค่าพลัง:
    +5,729
    จองครับ
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,400
    ค่าพลัง:
    +21,404
    FB_IMG_1752588447628.jpg 16473571_1304791139577741_5133246772241674708_n (1).jpg


    ประวัติพระครูปิยเขมคุณ(หลวงปู่โป๊ะ เขมิโย)
    *ชาติภูมิ*พระครูปิยเขมคุณ มีนามเดิมว่าโป๊ะ นามสกุล สัจจาภานุวัฒน์ เกิดเมื่อวันนอาทิตย์ที่ ๑๐เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๖๖ ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีกุน
    เวลา ๑๐:๔๕ น.ตรงกับรัชสมัยแผ่นดินรัชกาลที่ ๖
    พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งราชวงศ์จักรี กรุงรัตนโกสินทร์ในสมัยการปกครองสยามประเทศโดยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดย พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่๒ แห่งสยามประเทศ ในสมัยนั้น
    เกิดที่บ้านสวาย หมู่ที่ ๓ ตำบลดองกำเม็ด อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ
    บิดาชื่อ นาย แม้น สัจจา
    มารดาชื่อ นางแก้ว สัจจา
    มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๗ คน ดังนี้
    ๑. นายต๊ะ สัจจา
    ๒.นางพัน ใจดี
    ๓.นางมะลิ สัจจา
    ๔.นางสอน สุขพันธ์
    ๕.พระครูปิยเขมคุณ (โป๊ะ เขมิโย)
    ๖.นายเทพ สัจจา
    ๗.นายทองอยู่ สัจจา
    #การบรรพชาอุปสมบท
    พุทธศักราช ๒๔๘๕
    อายุ ๑๙ ปี
    ได้บรรพชาเป็นสามเณร
    ณ วัดเจ๊กโพธิ์พฤกษ์ อำเภอขุขันธ์
    จังหวัดศรีสะเกษ
    โดย พระปลัดคอน เป็นพระอุปัชฌาย์
    และไปจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านสวาย
    หมู่ที่ ๓ ตำบลดองกำเม็ด อำเภอขุขันธ์
    จังหวัดศรีสะเกษ
    พุทธศักราช ๒๔๘๗
    อายุ ๒๑ ปี
    ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
    ณ วัดเจ๊กโพธิ์พฤกษ์ อำเภอขุขันธ์
    จังหวัดศรีสะเกษ
    โดยมี พระปลัดคอน เป็นพระอุปัชฌาย์
    พระมอน ปญฺญาวชิโร
    เป็นพระกรรมวาจารย์
    พระสมุห์แซม กนตฺตสีโล
    เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    ได้รับฉายาทางธรรมว่า #เขมิโย#
    แปลว่า ผู้มีความสุขสงบยิ่งในธรรม
    และได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดเดิม คือ
    วัดบ้านสวาย หรือ วัดบ้านกันจาน
    ตำบลดองกำเม็ด อำเภอขุขันธ์
    จังหวัดศรีสะเกษ ในปัจจุบัน
    #การพระราชทานสมณศักดิ์#
    ๕ ธันวาคม ๒๕๑๕
    ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาส
    วัดราษฏร์ ชั้นตรี ในราชทินนามที่
    "พระครูปิยเขมคุณ"
    ๕ ธันวาคม ๒๕๒๐
    ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์
    เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาส
    วัดราษฏร์ ชั้นโท ในราชทินนามที่
    "พระครูปิยเขมคุณ"
    ๕ ธันวาคม ๒๕๒๙
    ได้รับพระราชทานเลื่อนชั้น
    พระสังฆาธิการ เป็นพระครูสัญญาบัตร
    พระครูเจ้าคณะตำบลชั้นโท
    ในราชทินนาม"พระครูปิยเขมคุณ"
    ๕ ธันวาคม ๒๕๓๕
    ได้รับพระราชทานเลื่อนชั้น
    พระสังฆาธิการ เป็นพระครูสัญญาบัตร
    พระครูเจ้าคณะตำบลชั้นเอก
    ในราชทินนาม "พระครูปิยเขมคุณ"
    #ตำแหน่งทางคณะสงฆ์
    พุทธศักราช ๒๔๘๙
    เจ้าอาวาสวัดบ้านบิง รูปเดิม
    ได้ลาสิกขาบท คณะกรรมการวัด
    ทายก ทายิกา ไวยาวัจกร และชาวบ้านบิง ได้พร้อมใจกันไปกราบนิมนต์ท่าน
    ที่วัดบ้านสวาย ให้มาเป็นเจ้าอาวาส
    วัดบ้านบิง ท่านจึงได้รับแต่งตั้งเป็น
    ผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดบ้านบิง
    นับแต่นั้นมา
    วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๔๙๓
    ได้รับการแต่งตั้งเป็นครูสอนปริยัติธรรม
    วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๙๕
    ได้รับตราตั้งเป็น
    เจ้าอาวาสจากทางราชการ
    สังกัด วัดบ้านบิงโดยสมบูรณ์แบบ
    วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๑๒
    ได้รับการแต่งตั้งเป็น
    เจ้าคณะตำบลดองกำเม็ด
    cr.หลวงปู่โป๊ะ พระครูปิยเขมคุณ
    ขอบคุณเจ้าของเพจครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    หลวงปู่ท่านมีชื่อเสียงวัตถุมงคลของท่านในด้านเมตตามหานิยมสีผึ้งของท่านเป็นที่นิยมกันมากและมีราคาบูชาค่อนข้างสูงหลายๆพัน

    เหรียญหลวงปู่โป๊ะวัดบ้านบึงศรีสะเกษรุ่นมหาเมตตา 71 ปีให้บูชา 150 แบบค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)


    IMG_20250715_212443.jpg IMG_20250715_212514.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2025 at 12:02
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,400
    ค่าพลัง:
    +21,404
    พระแก้วมรกตเนื้อผง สีเขียว อลังการศิลป์ พิธีหลวง วัดพระแก้ว ปี ๔๓
    พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง
    ตามโบราณจารย์ประเพณีถือว่า พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร "พระแก้วมรกต"เป็นพระพุทธรูปที่พระอินทร์ และพระวิษณุกรรม จัดหาลูกแก้วมาสร้างองค์เป็นพระพุทธรูปที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๗ พระองค์ เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง และเป็นพระประธานสำคัญในการอัญเชิญประกอบพิธีสำคัญต่างๆ ของประเทศไทย ผู้ใดได้บูชาจะเกิดสิริมงคลอย่างสูง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250715_213219.jpg IMG_20250715_213247.jpg IMG_20250715_213143.jpg
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,400
    ค่าพลัง:
    +21,404
    fb_img_1751982766303-jpg.jpg

    "ดั่งคำกล่าวที่หลวงพ่อเชิญได้เคยกล่าวไว้ วัตถุมงคลของข้าก็เหมือนน้ำที่เต็มตุ่ม ข้าเสกข้าใส่ไปจนล้น ใส่ไปจนหมดวิชาที่ข้ามี"...
    ประวัติหลวงพ่อเชิญ วัดโคกทอง อยุธยา
    หลวงพ่อเชิญ เกิดในตระกูล กุฎีสุข ที่หมู่บ้านดงตาล ตำบลโผงเผง อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง เมื่อวันศุกร์ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีมะแม ตรงกับวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2450 มีโยมบิดาชื่อ นายเคลือบ โยมมารดาชื่อ นางโล่ โดยที่หลวงพ่อเชิญเป็นบุตรของพี่น้องทั้งหมด 3 คน น้องสองคนเป็นฝาแฝดหญิงทั้งคู่ ชื่อ นางเจียม และ นางจอม
    เมื่อหลวงพ่ออายุได้ 5 ขวบ โยมมารดาก็ถึงแก่กรรม จึงต้องอยู่ในความเลี้ยงดูของโยมบิดาแต่ผู้เดียว ยามใดที่โยมบิดาไปทำไร่ไถนา ท่านต้องรับภาระเลี้ยงดูน้องสาวฝาแฝดแทนถึง 2 คน นับเป็นความยากลำบากมากทีเดียว เพราะขณะนั้นท่านเองเพิ่งจะมีอายุ 5-6 ขวบเท่านั้น
    เมื่อท่านอายุได้ 8 ขวบ โยมบิดาพาไปฝาก หลวงพ่อขาบ วัดฤาชัย ที่ตำบลกุฎี ในอำเภอผักไห่ อันเป็นถิ่นกำเนิดของโยมบิดา เพื่อให้เล่าเรียนหนังสือ โดยที่หลวงพ่อเชิญเล่าเรียนหนังสืออยู่กับหลวงพ่อขาบ 2 ปี จนสามารถอ่านออกเขียนได้พอสมควร
    หลวงพ่อขาบขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตำบลกุฎี เห็นว่าหลวงพ่อเชิญเป็นเด็กดี ขยันหมั่นเพียร เฉลียวฉลาดและว่านอนสอนง่าย จึงนำไปฝาก พระครูบวรสังฆกิจ หรือ หลวงพ่อเพิ่ม วัดโคกทอง ซึ่งเป็นเจ้าคณะอำเภอเสนา
    หลวงพ่อเพิ่มองค์นี้เป็นพระอาจารย์ที่มีความรู้ด้านปริยัติธรรมสูงส่ง เชี่ยวชาญทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน เพียงพร้อมด้วยศีลจารวัตรเคร่งครัดพระธรรมวินัย นอกจากนี้ยังเชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนโบราณ และเรืองวิทยาคมขลัง เนื่องจากเป็นศิษย์หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ และ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า อีกด้วย
    ดังนั้นหลวงพ่อเพิ่มจึงมีชื่อเสียงด้านแก้คุณแก้การกระทำทางไสยศาสตร์และรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ชื่อเสียงของหลวงพ่อเพิ่มสมัยนั้นจึงโด่งดังไม่ต่างกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นสหธรรมิกที่มีอายุแก่กว่าหลวงพ่อเพิ่ม 5 ปี
    ในสมัยนั้นหลวงพ่อปานท่านมาพำนักที่วัดโคกทองเสมอ เมื่อปี พ.ศ.2467 หลวงพ่อเพิ่มสร้างศาลาการเปรียญ หลวงพ่อปานยังมาช่วยยกเสาเอกให้ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่หลวงพ่อเพิ่มไม่เคยสร้างพระเครื่องไว้เลย ชนรุ่นหลังจึงไม่มีใครรู้จักท่าน
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หลวงพ่อเพิ่มทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์เพียงอย่างเดียวคือ แผ่นอิฐลงอาคมที่ก้นบ่อน้ำมนต์ 2 แผ่น อีกแผ่นหนึ่งเป็นของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งกล่าวกันว่าน้ำมนต์ในบ่อนั้นศักดิ์สิทธิ์มาก หลวงพ่อเชิญท่านนำมารดให้กับลูกศิษย์ลูกหาอยู่เสมอ
    บรรพชาและอุปสมบท หลวงพ่อเชิญมาอยู่วัดโคกทองคอยรับใช้หลวงพ่อเพิ่มอย่างใกล้ชิด และปฏิบัติหน้าที่การงานอย่างสม่ำเสมอ ด้วยความวิริยะอุตสาหะและเชื่อฟังคำสั่งสอนของหลวงพ่อเพิ่มเป็นอย่างดี
    หลวงพ่อเชิญบรรพยาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ 16 ปี ในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ.2466 หลวงพ่อเพิ่มเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออายุครบบวชจึงอุปสมบทต่อโดยมิได้ลาสิกขา ณ พัทธสีมาวัดโคกทอง ในวันที่ 1 มิถุนายน 2470 โดยมีพระอาจารย์องค์แรกคือ หลวงพ่อขาบ วัดฤาไชย เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อเพิ่ม วัดโคกทอง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดแจ่ม วัดโคกทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาเป็นภาษาบาลีจากพระอุปัชฌาย์ว่า "ปุญฺญสิริ"
    การศึกษาและพระปริยัติธรรม หลวงพ่อเชิญอุปสมบทอุปสมบทแล้วอยู่ช่วยหลวงพ่อเพิ่มบูรณะวัดโคกทองเรื่อยมา พร้อมกันนั้นได้ศึกษาพระปริยัติธรรมโดยสอบได้นักธรรมตรีตั้งแต่เมื่อยังเป็นสามเณรในปี พ.ศ.2469 แล้วสอบได้นักธรรมโทในปีแรกที่อุปสมบท และอีก 8 พรรษาต่อมาจึงสอบได้นักธรรมเอก
    สาเหตุที่หลวงพ่อเชิญสอบได้นักธรรมเอกช้า เนื่องจากไม่มีเวลาอ่านหนังสือ เพราะเอาเวลาส่วนใหญ่ช่วยงานหลวงพ่อเพิ่มในการบูรณะพัฒนาวัดด้วยความอุตสาหะ ในปี พ.ศ.2474 จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นฐานานุกรมที่ พระสมุห์เชิญ
    ปี พ.ศ.2478 สอบได้นักธรรมเอก พร้อมกับได้รับการแต่งตั้งเป็น พระปลัด ในปี พ.ศ.2480 ท่านจึงต้องทำหน้าที่ทุกอย่างแทนหลวงพ่อเพิ่ม ปฏิบัติภารกิจในตำแหน่งเลขานุการเจ้าคณะอำเภอเสนา ไม่ว่าจะเป็นการต้อนรับแขก ดูแลพระภิกษุสามเณรภายในวัด และเป็นผู้จัดสถานที่ให้กับคนเจ็บที่มารักษาตัว
    แม้แต่ศาสนกิจนอกวัดเกี่ยวกับราชการคณะสงฆ์ เทศนาตามกิจนิมนต์ หรือการเข้าประชุมตามพระเถระกำหนด และออกตรวจตราตามบริเวณวัดและสอบนักธรรมสนามหลวง ภารกิจเหล่านี้ตกอยู่กับท่านเพียงองค์เดียวเท่านั้น นับเป็นภารกิจที่หนักมาก แต่หลวงพ่อเชิญก็สามารถปฏิบัติด้วยความเรียบร้อยเสมอมาจวบจนหลวงพ่อเพิ่มถึงแก่กาลมรณภาพในปี พ.ศ.2491
    พ.ศ.2491 รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดโคกทอง
    พ.ศ.2492 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโคกทอง
    พ.ศ.2505 เป็นเจ้าคณะตำบลกุฎี และเป็นพระกรรมวาจาจารย์
    พ.ศ.2509 เป็นพระอุปัชฌาย์จารย์
    พ.ศ.2511 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ราชทินนามที่ พระครูวิชัยประสิทธิคุณ
    พ.ศ.2517 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท
    พ.ศ.2522 เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก
    พ.ศ.2524 สำนักนายกรัฐมนตรี ถวายพัดชั้นพิเศษในฐานะที่เป็นผู้อุปการะโรงเรียนวัดโคกทอง (บวรวิทยา)
    พ.ศ.2532 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ประทานพัดพัฒนาที่มีผลงานดีเด่นแก่หลวงพ่อเชิญ
    การศึกษาพระเวทวิทยาคม หลวงพ่อเชิญเป็นพระอาจารย์ที่มีมากครูมากอาจารย์ เพราะท่านมีใจรักทางด้านพระเวทวิทยาคมมากกว่าการศึกษาด้านพระปริยัติธรรม เมื่อได้รับการปูพื้นฐาน โดยที่ หลวงพ่อเพิ่ม เป็นพระอาจารย์องค์แรกที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ต่างๆ ให้ อาทิ
    การศึกษาอักษรสมัยทั้งภาษาไทยและภาษาขอม การท่องบ่นมนต์คาถา การลงอักขระเลขยันต์ แพทย์แผนโบราณ ยาแก้กันกระทำคุณไสย์ นั่งเจริญสมาธิภาวนาพระกรรมฐาน ตลอดทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน มาตั้งแต่หลวงพ่อเชิญมีอายุเพียง 10 ขวบ
    ในคราวที่บวชเณรแล้วได้ติดตามหลวงพ่อเพิ่มไปซื้อซุงที่ชัยนาท ได้ไปกราบนมัสการ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อเพิ่ม หลวงพ่อเชิญจึงโชคดีได้วิชาบางประการมาจากพระปรมาจารย์อันยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรอย่างหลวงปู่ศุข
    เมื่ออุปสมบทในพรรษาแรกก็ไปขึ้นพระกรรมฐานกับ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก แล้วเดินทางไป ๆ มา ๆ ร่ำเรียนวิชากับหลวงพ่อจงมากมายเป็นระยะเวลาหลายปี
    หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค สหายทางธรรมของหลวงพ่อเพิ่ม ชอบมาพำนักที่วัดโคกทอง หลวงพ่อเชิญก็ฝากตัวเป็นศิษย์คอยปรนนิบัติรับใช้แล้วติดตามพายเรือไปส่งและพักเรียนวิชาที่วัดบางนมโคเป็นประจำ
    ในปี พ.ศ.2473 หลวงพ่อเพิ่มพาท่านไปฝากตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์อีกรูปหนึ่งของท่านคือ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อกลั่นชราภาพมากแล้ว
    ในปี พ.ศ.2482 หลวงพ่อเชิญเกิดอาพาธด้วยโรคตาอักเสบจึงเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อพักรักษาตัวอยู่กับ หลวงปู่กล้าย วัดหงษ์รัตนาราม บางกอกใหญ่ เลยได้รับการแนะนำวิชาการต่าง ๆ จากหลวงปู่กล้ายอีกรูปหนึ่ง
    ขณะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เวลานั้นวัสดุก่อสร้างขาดแคลน การบูรณะวัดก็หยุดชะงักลง หลวงพ่อเชิญจึงถือโอกาสเรียนวิชาแพทย์แผนโบราณว่าด้วยสาขาเวชกรรมกับ ครูนพ ที่โรงเรียนประทีป ตลาดพลู เป็นเวลา 2 ปีด้วยกัน
    นอกจากนั้นยังมีพระอาจารย์เรืองวิชาที่มีชื่อเสียงในอยุธยาที่หลวงพ่อเชิญเคยไปขอศึกษาวิชามาก็มี หลวงปู่ยิ้ม วัดเจ้าเจ็ดใน หลวงพ่อแจ่ม วัดบัวหัก และหลวงพ่อแพ วัดกลางคลอง ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นพระอาจารย์ยุคเก่าที่เรืองวิชาทั้งสิ้น
    ขอขอบคุณ
    ที่มา : http://www.sitamulet.com/…/357_หลว%…
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงเบญจภาคีพระเจ้าห้าพระองค์ เนื้อดินเผาหลังติดจีวร ยกชุด ๓ องค์

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250715_224820.jpg IMG_20250715_224844.jpg IMG_20250715_224913.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2025 at 16:45
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,400
    ค่าพลัง:
    +21,404
    1752652209401.jpg

    เรื่องการสักยันต์ของหลวงพ่อเปิ่นกล่าวเพียงบทสรุปว่าชอบ เสือ ด้วยเหตุผลที่บอกเพียงสั้น ๆ แก่ศานุศิษย์ว่า เสือเป็นสัตว์ที่มีอำนาจเพียงเสียงคำรามของเสือ สัตว์ทั้งหลายก็สงบเงียบกลิ่นของเสือสัตว์ทั้งหลายเมื่อรับสัมผัสจะยอมในทันที หลีกทันก็ต้องหลีก จัดอยู่ในมหาอำนาจเสือรูปร่างสง่างาม เต็มไปด้วยอำนาจบารมี จัดอยู่ในมหานิยม ที่สำคัญ หลวงพ่อเปิ่นเคยประจันหน้ากับเสือมาแล้ว กลางป่าลึกระหว่างธุดงค์วัตรแถวป่าใหญ่จังหวัดกาญจนบุรี จึงเกิดความประทับใจตั้งแต่นั้นมา

    หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ เป็นชาวนครชัยศรี จ.นครปฐม โดยกำเนิด บิดาท่านมีนามว่า “นายฟัก” มารดามีนามว่า”นางยวง” อยู่ในตระกูล “พู่ระหง” ครอบครัวขององค์หลวงพ่อเปิ่นมีอาชีพทำนาอันเป็นอาชีพหลักของชาวบ้านในแถบนั้น
    องค์หลวงพ่อเปิ่น ถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๔๖๖ ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้นหนึ่งค่ำ (๑) เดือนเก้า (๙) ครั้งนั้นในแถบถิ่นเมืองนครชัยศรี ได้มีทารกน้อยมาจุติ ซึ่งมากล้นด้วยบุญญาธิการ ด้วยลักษณะที่ผิวพรรณผ่องใส ผิดไปจากพี่น้องซึ่งอยู่ด้วยกันทั้งหมดเวลานั้น คือมีพี่ทั้งหญิงและชาย ๘ คน หลวงพ่อเป็นคนที่เก้า และต่อมาองค์หลวงพ่อจึงมีน้องที่เป็นหญิงเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
    ชีวิตปฐมวัยขององค์ท่านหลวงพ่อเปิ่น นับว่าเป็นเรื่องที่น่าศึกษาอย่างเป็นที่สุด ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าในสมัยนั้นแถบถิ่นลุมน้ำนครชัยศรีอุดมไปด้วยวิชาอาคม อาจเนื่องด้วยไกลปืนเที่ยง ในตอนนั้นการเรียนรู้วิชาอาคมเอาไว้เพื่อป้องกันตัวจึงถือเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้ชายทุกคนจักพึงมี หลวงพ่อเปิ่น องค์ท่านสนใจในเรื่องไสยศาสตร์มาตั้งแต่สมัยเด็ก อาศัยว่าครอบครัวของท่านอยู่ใกล้กับวัดบางพระ ซึ่งในสมัยนั้นมีองค์พระคุณเจ้าที่จำพรรษา (รวมทั้งพี่ชายหลวงพ่อด้วย) ณ วัดบางพระ เก่งกาจในสายไสยศาสตร์มากหลายองค์ เด็กชายเปิ่นจึงเข้าออกเพราะความอยากรู้ อยากใฝ่หาในวิชาอยู่กับวัดบางพระเป็นประจำ
    ครั้นต่อมาครอบครัวย้ายไปตั้งรกรากทำมาหากินที่จังหวัดสุพรรณบุรี บ้านทุ่งคอก อำเภอสองพี่น้อง ที่สุพรรณบุรีนี่เองที่เด็กชายเปิ่นได้ฉายแววเป็นนักเลงจริง เป็นคนจริงให้เห็น เพราะการอยู่ในดงนักเลงที่เป็นคนจริง จะต้องเป็นคนจริงไปด้วยโดยปริยาย เมื่อถึงจุดนี้ผู้ชายไทยใจนักเลงทุกคนจึงต้องหาอาจารย์ศึกษาทางด้านไสยเวทย์ เพื่อเอาไว้ป้องกันตัวเองบ้าง เป็นการเสริมสร้างบารมีให้แก่ตนเอง เด็กชายเปิ่นจึงต้องขวนขวายหาครูบาอาจารย์ผู้เรืองเวทวิชาอาคม ศึกษาหาวิชามาไว้ป้องกันตัวเองได้เวทมนตร์คาถาเอามาท่องจำ เป็นอย่างนี้อยู่ตลอด
    จนกระทั่งได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์ขององค์ท่านหลวงพ่อแดงแห่งวัดทุ่งคอก อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ศิษย์เอกของท่านหลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน องค์พระคุณเจ้าที่เก่งพร้อมทุกด้าน โดยเฉพาะเก่งกล้าเป็นอย่างมากทางด้านกัมมัฎฐานและไสยเวทย์ นี่เองคือจุดเริ่มความเก่งกาจของ เด็กชายเปิ่นจนถึงนายเปิ่นในกาลเวลาต่อมา
    หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก องค์เสมือนจะทราบว่าเด็กชายเปิ่นคนนี้มีแววแห่งผู้ขมังเวทอย่างแน่นอน อีกทั้งจิตใจ อันใสบริสุทธิ์สะอาด ผนวกกับเป็นคนจริงท่านจึงได้ถ่ายทอดในสายวิชาของท่านพร้อมวิชา ไสยเวทย์ต่าง ๆ ให้กับเด็กชายเปิ่น
    ด้วยความจำ ด้วยความที่ตนใฝ่หาทางนี้โดยตรง ความรู้ที่พระอาจารย์หลวงพ่อแดงมอบให้จึงตกอยู่ที่เด็กชายเปิ่นอย่างมากมาย ที่สำคัญในช่วงนั้นนั่นเองที่เด็กชายเปิ่นเจริญเติบโตเป็นนายเปิ่นได้มีความอยากรู้ อยากเรียน อยากทราบในสายพระเวทย์เหมือนองค์หลวงพ่อเปิ่น จึงเป็นที่ถูกคอกันยิ่งนัก ซึ่งต่อมาเพื่อนคนนี้ได้อุปสมบทเหมือนกัน มีนามว่าหลวงพ่อจำปา (ปัจจุบันมรณภาพแล้ว) เจ้าอาวาสวัดประดู่ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพ ฯ ซึ่งมีลูกศิษย์ ลูกหามากมาย
    หลวงพ่อเปิ่นศึกษาวิชากับหลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอกอยู่จนถึงเวลาที่ครอบครัวย้ายถิ่นฐานกลับสู่บางแก้วฟ้า จังหวัดนครปฐม อีกครั้ง ซึ่งตรงกับอายุครบเกณฑ์ทหารพอดี ในสมัยนั้นการเกณฑ์ทหารแบ่งเป็น 2 อย่าง คือ ทหารประจำการ กับ ทหารโยธา
    สมัยนี้นี่เองที่นายเปิ่นได้รับการถ่ายทอด วิชาสักยันต์ อันเกรียงไกร โดยได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหลวงพ่อหิ่ม อินฺทโชโต เจ้าอาวาสวัดบางพระ แน่นอนที่สุดนี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตขององค์หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ เพราะวิชาที่ได้รับการถ่ายทอดมาล้วนเป็นวิชาที่สุดยอดทั้งสิ้น หากมองย้อนกันกลับไป พระอธิการหิ่ม อินฺทโชโต เจ้าอาวาสวัดบางพระในเวลานั้น หากเทียบกันในเรื่องไสยเวทย์คาถา จัดได้ว่าเป็นหนึ่งเป็นจิตจริงอันแน่วแน่ เพียงแต่องค์ท่านไม่ออกสู่สนามลองพระเวทย์สักเท่าใด อีกทั้งเรื่องยาสมุนไพรรักษาโรคก็นับว่าเป็นหนึ่งเหมือนกัน
    ถือว่าเป็นวิชาพระคาถาอาคมที่ได้รับการสืบทอดความลึกลับกันมาตั้งแต่โบราณกาล ขณะนั้นนายเปิ่นได้เข้ารับใช้หลวงพ่อหิ่ม เพื่อความอยากเรียนในด้านไสยเวทย์จากองค์ท่านหลวงพ่อหิ่มนั่นเอง ซึ่งก็ได้รับความเมตตาเป็นอย่างดีจากท่านหลวงพ่อหิ่ม สายวิชาพระเวทย์ลึกลับตั้งแต่โบราณกาลจากองค์หลวงพ่อหิ่ม จึงถูกถ่ายทอดให้กับนายเปิ่นทั้งหมด
    เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เป็นเพราะในช่วงที่หนุ่มแน่น นายเปิ่นเข้าออกวัดบางพระเกือบทุกเวลาจึงใกล้ชิดกับวัดอย่างดีที่สุด จนเมื่อถึงเวลาหนึ่ง ซึ่งนายเปิ่นคิดไปว่า ต้องบวชเรียนเพื่อศึกษาในสายวิชาอย่างจริงจัง เมื่อมาถึงในขั้นตอนที่ต้องใช้จิตใจในส่วนของความสงบ นึกดังนั้นจึงขออนุญาตพ่อแม่ว่าอยากบวชเรียน ซึ่งทั้งสองคนต่างดีใจเป็นอย่างมาก ยินดีให้นายเปิ่นเข้าสู่บวรพุทธศาสนา
    วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ นายเปิ่นเข้าบรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดบางพระ ต.บางแก้วฟ้า อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม โดยมี พระอธิการหิ่ม อินฺทโชโต เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์อยู่ ปทุมรัตน์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เปลี่ยน จิตฺตธมฺโม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ หลวงพ่อเปิ่น จึงเริ่มศึกษาเล่าเรียนในพระธรรมวินัย สิกขาบท ตามภาระหน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ ที่สำคัญคือการศึกษาเล่าเรียนทางด้านวิชาอาคม จากตำรับตำราโบราณที่พระอาจารย์หลวงปู่หิ่ม สอนให้อย่างตั้งอกตั้งใจ นอกจากท่องบ่นพระเวทย์มนตร์คาถาอาคมแล้ว หลวงพ่อเปิ่นยังได้รับการถ่ายทอดในสายอักขระโบราณเป็นรูปแบบของยันต์ต่าง ๆ การลงอาคมตามทางเดินของสายพระเวทย์จนเป็นที่ชำนาญ กล่าวกันว่าอักษร อักขระ ที่หลวงพ่อเปิ่นลงหรือเขียนนั้นสวยงาม มีเสน่ห์เป็นยิ่งนัก
    ในช่วงเวลา ๔ ปีกว่า ๆ ที่หลวงพ่อเปิ่นศึกษาวิชาต่าง ๆ จากพระอาจารย์หลวงปู่หิ่ม อินฺทโชโต และอยู่ปรนนิบัติพระอาจารย์จนถึงกาลที่พระอาจารย์หลวงปู่หิ่มละสังขาร มรณภาพ ซึ่งนับเป็นศิษย์องค์สุดท้ายที่ได้อยู่ปรนนิบัติหลวงปู่หิ่ม อินฺทโชโต หลังจากที่พระอาจารย์มรณภาพ หลวงพ่อเปิ่นจึงได้ออกจาริกปฏิบัติธรรม แสวงหาสัจจธรรม และในจุดประสงค์ลึก ๆ ของหลวงพ่อเปิ่นนั้นต้องการแสวงหาพระอาจารย์เพื่อศึกษาพระเวทย์
    ในช่วงนั้นมีพระอาจารย์องค์หนึ่ง โด่งดังมากในเรื่อง "เตโชกสิณ" นั่นคือ องค์หลวงพ่อโอภาสี จำพรรษาอยู่ที่วัดรังษี (เดิมอยู่ติดกับวัดบวรนิเวศน์ ต่อมาจึงยุบไปรวมกับวัดบวรนิเวศน์) หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ จึงเข้าไปฝากตัวศิษย์ หลวงพ่อโอภาสี ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่มีปฏิปทาน่าเลื่อมใส
    ในครั้งนั้นหลวงพ่อเปิ่นเข้าศึกษากับพระอาจารย์หลวงพ่อโอภาสีเป็นเวลาเกือบปี จึงกราบลาพระอาจารย์หลวงพ่อโอภาสี เพื่อออกธุดงค์ต่อไป ตามแนวของพระอาจารย์ หลวงพ่อเปิ่นเคยปรารภให้ศิษย์ฟังว่า
    "อาตมาเรียนด้วย ปรนนิบัติท่านโอภาสีไปด้วย คงเป็นเพราะบุญบารมีของอาตมาที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อนก็ว่าได้ จึงได้มีโอกาสศึกษากับท่านโอภาสี สำคัญมาก ๆ จริง ๆ และถ้าหากอาตมาไม่แสวงหาวิชาความรู้ต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วแผ่นดินแล้วก็จะอยู่เพียงแค่นี้ไม่ก้าวหน้าต่อไป วิชาก็ไม่แน่นพอ ไม่ได้เห็นแสงสว่างของธรรมและยังไม่ได้เข้าถึงคุณวิชาความที่ต้องศึกษาจึงจำเป็นต้องไปเพื่อกาลข้างหน้าจะได้เป็นผู้รู้บ้าง แต่จะได้มากน้อยแค่ไหนนั้นก็แล้วแต่บุญกุศลเถิดว่าจะสนองตอบเราได้เพียงใด"
    ทราบกันเพียงว่าหลังจากองค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นเข้ารับการถ่ายทอดในสายวิชาของ หลวงพ่อโอภาสีแล้วทำให้หลวงพ่อเปิ่นท่านทราบได้ถึงสายวิชาที่มีอยู่อย่างมาก ในภพหล้าของเมืองไทยอีกทั้งได้รับการชี้แนะ จากองค์ท่านหลวงพ่อโอภาสีถึงองค์พระภิกษุสงฆ์เจ้าที่เก่งในด้านวิชา ตามเส้นทางที่องค์ท่านหลวงพ่อโอภาสีท่านเคยจาริกแสวงมา
    หลังจากที่กราบลาองค์พระอาจารย์หลวงพ่อโอภาสี หลวงพ่อเปิ่นจึงออกธุดงค์มุ่งสู่ป่าเขาลำเนาไพรอีกครั้ง โดยมุ่งหน้าสู่จังหวัดกาญจนบุรี อันเป็นแหล่งใหญ่ของการปฏิบัติบำเพ็ญภาวนาซึ่งป่าแถบเมืองกาญจนบุรี มีพร้อมสำหรับผู้แสวงหาสัจธรรมและความวิเวก
    อีกทั้งองค์พระคุณเจ้าที่เก่งและเสาะหาในสายวิชาต่างมุ่งตรงสู่ป่าเขาในจังหวัดกาญจนบุรีกันเป็นส่วนมาก จึงเป็นโอกาสดีของการรับรู้และแลกเปลี่ยนในสายวิชาซึ่งกันและกัน
    ช่วงนี้นี่เองที่ชีวประวัติองค์หลวงพ่อเปิ่น ได้หายไปจากเมือง ทราบเพียงว่าองค์ท่านหลวงพ่อเปิ่น ท่านออกจาริกข้ามขุนเขาตะนาวศรี เข้าสู่เมืองมะริดของประเทศพม่าเข้าสู่บ้องตี้เซซาโว่ เกริงกาเวีย า (พ.ศ. ๒๔๙๖ - ๒๕๐๔ ) ซึ่งป่าแถบนั้นเป็นป่า ที่ซ่อนอาถรรพ์ลี้ลับนานาประการเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นอันตรายจากสัตว์อันตรายจากสิ่งลี้ลับ มนต์ดำแห่งป่า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้องค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นเกิดความกลัวแต่อย่างใด กลับตรงกันข้ามท่านกลับมุ่งใจพุ่งองค์เองเข้าสู่แดนอาถรรพณ์มหันตภัยแห่งนี้ แน่นอนละ หากในสายวิชาไม่แข็ง หรือจิตไม่เพียบพร้อม ณ ป่านี้นี่เองที่องค์ธุดงค์วัตรหายไปอย่างลึกลับ มีมาแล้วจะเป็นด้วยไข้ป่า ผีป่า นางไม้ วิญญาณร้ายต่าง ๆ ที่สำคัญคือสัตว์ร้ายนานาชนิดที่มีอยู่อย่างมาก โดยเฉพาะ "เสือสมิง" ที่นี่มีตำนานที่เล่ากันมาตั้งแต่บรรพกาล ในส่วนของเสือร้ายที่สามารถกลับกลายแปลงร่างเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ที่ศึกษาวิชาทางด้านนี้ จนสามารถกลับกลายร่างตนเองเป็นเสือสมิงไป และไม่ได้กลับร่างมาเป็นคนอีก เป็นเรื่องจริง ในสายวิชาเร้นลับวิชาหนึ่ง
    ในส่วนองค์หลวงพ่อเปิ่น ท่านไม่ได้ประหวั่นพรั่นพรึงในส่วนนี้เลยแม้แต่น้อย จะเป็นด้วยเพื่อทดลองสายวิชาที่ได้เล่าเรียนมาหนึ่ง หรือเป็นด้วยองค์ท่านตัดทางจิตแล้วที่จะอุทิศตนเพื่อพระศาสนา ดังนั้นจิตอันสงบ จึงทำให้ไม่กลัวอะไรแม้แต่น้อย ช่วงนี้องค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นประวัติเงียบหายไปอย่างสนิทมีเพียงคำบอกเล่าของชาวบ้านว่าเจอองค์ท่านบ้าง ชาวเขา ชาวป่า พวกกระเหรี่ยง บอกว่าเจอองค์ท่านและองค์ท่านได้ช่วยเหลือสงเคราะห์ชาวป่า ชาวเขามาแล้วบ้าง
    เป็นดังนี้ กระทั่งปลาย พ.ศ. ๒๕๐๔ บ่ายแก่ของวันหนึ่ง พระธุดงค์วัยกลางคนมาปักกลดอยู่ชายป่าใกล้กับวัด ทุ่งนางหลอก อ.ลาดหญ้า จ.กาญจนบุรี ที่นี่นี้เององค์พระธุดงค์องค์นี้ได้สร้างศรัทธาให้แก่ชาวบ้านอย่างมากมาย ทั้งปฏิปทาที่เคร่ง ทั้งสายวิชาสานยาสมุนไพรช่วยเหลือชาวบ้าน ยิ่งเข้ากราบยิ่งเป็นที่กล่าวขาน เกิดเป็นศรัทธาอันสูงสุดของชาวบ้านที่พุ่งตรงสู่พระคุณเจ้ารูปนี้ "หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ " คือองค์ธุดงค์องค์นั้น ประจวบกับวัดทุ่งนางหลอกซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมมาก ไม่มีเจ้าอาวาสมีเพียงพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาอยู่สองสามรูป จนจะกลายเป็นวัดร้างอยู่แล้ว ชาวบ้านจึงเห็นพ้องต้องกันว่าผู้ที่จะช่วยพัฒนาวัดทุ่งนาวัดนางหลอกให้กลับมาคืนมาอีกครั้ง คือองค์พระธุดงค์องค์นี้ จึงได้พร้อมกันนิมนต์องค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นให้ท่านช่วยพัฒนาเสนาสนะต่าง ๆ ให้ดีขึ้นเหมือนเดิมและให้องค์ท่านอยู่เพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน เป็นที่พึ่งพาอาศัยของพวกเขาต่อไป
    หลวงพ่อเปิ่นรับนิมนต์ เมื่อมาเป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งนางหลอก องค์ท่านหลวงพ่อเปิ่น ใช้ความรู้ความสามารถขององค์ท่านทุกวิถีทาง เพื่อให้เกิดประโยชน์กับแถบถิ่น เช่นวิชาแพทย์แผนโบราณ พระคาถาอาคมต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านเท่าที่จำเป็น เพียงระยะเวลาไม่นานที่องค์พระคุณเจ้าหลวงพ่อเปิ่นมาเป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งนางหลอก การพัฒนาวัดรุดหน้าไปมาก เจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างแปลกหูแปลกตา ทำให้ชื่อเสียงองค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นเป็นที่รู้จักและเริ่มกระจายออกไปกว้างขึ้น ๆ จากคำบอกเล่าปากต่อปาก ประจวบกับองค์ท่านมีจริยาวัตรอันงดงาม มีวิชาแพทย์แผนโบราณ รวมทั้งมีวิชาอาคมที่เป็นเลิศ เพียงไม่ถึง 2 ปี ที่องค์ท่านจำพรรษาเป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งนางหลอก จ.กาญจนบุรี วัดนี้เจริญขึ้นพอสมควร องค์ท่านหลวงพ่อเปิ่น จึงออกจาริกต่อไป นำพาซึ่งความอาลัยเสียดายแก่ชาวบ้านทุ่งนางหลอก เป็นยิ่งนัก
    หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ นครปฐม
    สู่วัดโคกเขมา หลังจากออกจากวัดทุ่งนางหลอก องค์ท่านหลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ จึงออกธุดงค์มุ่งสู่สมถะวิเวกอีกครั้งยาวนานร่วม 2 ปี โดยใช้เส้นทางวึ่งเป็นป่าดงดิบรกชัฏตามกาลสมัย ระหว่างทางองค์ท่านแวะพักที่วัดโคกเขมา ต.แหลมบัว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ซึ่งก็ตรงกับจังหวะที่วัดโคกเขมา ไม่มีเจ้าอาวาสพอดิบพอดี วัดโคกเขมา นับว่าไกลปืนเที่ยงอยู่เหมือนกัน กันดารอยู่กลางป่า การเดินทางไปมาแสนลำบาก เมื่อชาวบ้านทราบว่ามีพระธุดงค์เข้ามาพักที่วัดและทราบต่อมาทราบว่าเป็นศิษย์ของหลวงปู่หิ่ม อินทฺโชโต ชาวบ้านจึงพากันนิมนต์องค์หลวงพ่อเปิ่น ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดโคกเขมา
    หลวงพ่อเปิ่นจึงต้องรับนิมนต์เป็นเจ้าอาวาสวัดโคกเขมามาตั้งแต่กาลนั้น คณะสงฆ์ในตำบลแหลมบัว ออกประกาศและแต่งตั้งให้หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ เป็นเจ้าอาวาสวัดโคกเขมาสืบไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2509 เมื่อเข้ารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโคกเขมาองค์ท่านหลวงพ่อเปิ่น จึงได้เริ่มพัฒนาวัด ก่อสร้างเสนาสนะซ่อมแซมปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเกิดจากศรัทธาของประชาชนที่มีต่อองค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นในเวลานั้น และที่วัดโคกเขมานี่เอง องค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นท่านได้สร้างพระเครื่องเป็นครั้งแรก ปัจจุบันพระเครื่องรุ่นนี้ของวัดโคกเขมา หาเป็นสิ่งยากเพราะเป็นพระเครื่องที่มีประสบการณ์ สร้างอภินิหารให้ผู้ที่ครอบครองได้ประจักษ์
    หลังจากรุ่นรูปหล่อเนื้อทองแดงของท่านแล้ว พระเครื่องและวัตถุมงคลต่าง ๆ จากวัดโคกเขมาจึงออกมาเพื่อให้ศิษย์และประชาชนได้เช่าหาบูชากัน เพื่อนำเงินบำรุงพัฒนาวัดโคกเขมาทั้งหมด ที่วัดโคกเขมาองค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นออกพระเครื่องทั้งเนื้อผง (สมเด็จ) ทั้งรูปหล่อ ทั้งเหรียญพระบูชา (พระสังกัจจายน์) ซึ่งชมได้จากภาพที่ได้จัดเรียงไว้อย่างครบครันในประมวลภาพพระเครื่องของวัดโคกเขมา (เล่มที่1) ทุกชิ้นทุกอย่างทุกองค์ในเวลานั้นดูมีค่ามากสำหรับชาวบ้านที่รับไป นั่นหนึ่งละที่เป็นเหตุให้ชื่อองค์ท่านหลวงพ่อขจรไกลไปทั่วแคว้น ทุกอย่างเกิดจากประสบการณ์ของผู้ใช้ทั้งสิ้น
    จึงไม่แปลกเลยทีช่วงนั้น ณ กุฎิท่านวัดโคกเขมา ซึ่งมีพร้อมทั้งทางด้านไสยศาสตร์ ทั้งทางด้านปฏิบัติธรรม ถือเคร่งในวัตรปฏิบัติจนเป็นที่เลื่อมใสแก่ผู้ที่มากราบไหว้พบเห็น ชนทุกเหล่าทุกนามที่ทราบข่าวต่างเข้ามากราบไหว้กันจนกุฎิไม่แห้ง ที่กล่าวขานกันอย่างไม่มีวันจบสิ้น จวบปัจจุบันตั้งแต่วัดโคกเขมาเป็นต้นมานั่นคือ " การสักยันต์ " แน่ละหากกล่าวถึงหลวงพ่อเปิ่นในหมู่ของชายฉกรรจ์ตั้งแต่อดีตมาหากเป็นสมัยท่านแล้วละก็ ต้องยกนิ้วให้องค์ท่านหลวงพ่อเปิ่น ในเรื่องของไสยศาสตร์เวทมนต์คาถาที่ส่งลงสู่ร่างของชายชาตินักสู้ในรูปแบบขององค์ท่านเอง
    ทุกอย่างสมบูรณ์เพียบพร้อมถึงขนาดมีข่าวคราวกระพือโหมไปทั่วว่า แม้สิ้นชีพไปแล้ว มีดผ่าตัดยังไม่สามารถเฉือนเนื้อลงได้เลย คงทราบกันดีแล้วนะครับในข่าวนี้ องค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นในสมัยที่องค์ท่านยังมิได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครู ฯ องค์ท่านลงมือสักลงอักขระเวทด้วยองค์ท่านเอง มาภายหลังที่ท่านประสิทธิ์ประสาทให้แก่ศิษย์เป็นผู้สักแทน องค์หลวงพ่อเพียงทำพิธีครอบให้เท่านั้น เรื่องการสักขององค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นกล่าวกันเพียงบทสรุปองค์ท่านหลวงพ่อเปิ่น ท่านจะชอบ " เสือ " ด้วยเหตุผลที่องค์หลวงพ่อบอกเพียงสั้นแก่สานุศิษย์ว่า เสือเป็นสัตว์ที่มีอำนาจ เพียงเสียงคำรามสัตว์ทั้งหลายก็สงบเงียบ กลิ่นของเสือสัตว์ทั้งหลายเมื่อสัมผัสจะยอมในทันที หลีกทันก็ต้องหลีก จัดอยู่ในมหาอำนาจ เสือรูปร่างสง่างาม เต็มไปด้วยอำนาจบารมีจัดอยู่ในมหานิยม
    ในช่วงปี ๒๕๑๔ หลวงพ่อเปิ่นได้รับสมณศักดิ์เป็นพระใบฎีกา ฐานานุกรมในพระอุดมสารโสภณ เป็นช่วงที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดโคกเขมา อันเป็นเวลาที่วัดโคกเจริญรุดหน้าขึ้นอย่างสูงสุด
    พ.ศ. ๒๕๒๒ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโทที่พระครูฐาปนกิจสุนทร
    พ.ศ. ๒๕๓๒ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบ้ตรชั้นเอกในราชทินนามเดิม
    พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้รับพระราทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระอุดมประชานาถ
    หลวงพ่อเปิ่นมรณภาพเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๕ เวลา ๑๐.๕๕ รวมอายุ ๗๙ ปี พรรษา ๕๔
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อเปิ่นขี่เสือออกวัดหนองเป้า อยุธยา ยกชุด ๓ องค์
    https://www2.g-pra.com/auctionc/view.php?aid=6883944

    1752652246035.jpg
    ในเวปประมูลจีพระ รุ่นนี้ เคยมีการประมูลเช่าบูชาในราคา ต่อองค์ ถึง สามร้อยห้าสิบ แต่ ชุดนี้ ๓ องค์ หลัง ปั๊มหมึก ชื่อวัดและ แบบปั๊ม พระราหู

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250716_141307.jpg IMG_20250716_141337.jpg
     
  10. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    3,031
    ค่าพลัง:
    +5,729
    จองครับ
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,400
    ค่าพลัง:
    +21,404
    FB_IMG_1684908874143.jpg

    หลวงปู่ครูบาน้อย ชยวังโส วัดบ้านปง ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ท่านเกิดวันอังคาร ที่ ๓ เมษายน ๒๔๔๐ ตรงกับวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๗ เหนือ ปีจอ ท่านเป็นคนบ้านปง ต.อินทขิล อ.แม่แตง โดยกำเนิด โยมบิดาท่านชื่อ พ่อวงศ์ โยมมารดาชื่อ แม่ออน นามสกุล พงษ์คำ
    ท่านอายุได้ ๑๓ ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบ้านปง โดยมีครูบามโนชัย วัดศรีภูมินทร์ ต. ช่อแล เป็นพระอุปัชฌายา และท่านได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาต่างๆ กับท่านครูบามโนชัย ซึ่งสมัยนั้นได้เรียนการปฏิบัติธรรมนั่งกรรมฐานเป็นส่วนมาก แล้วมักจะได้เรียน วิชาคาถาอาคมควบคู่กันไปด้วย ท่านเล่าเรียน จนท่านสามารถเข้าถึง และปฏิบัติได้ดี
    จนท่านอายุ ๒๓ ปี ท่านได้อุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดบ้านปง โดยมีท่าน ครูบามโนชัย เป็นพระอุปัชฌาย์ พระศรีวิชัย วัดป่าบง อินทขิล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสิทธิ วัดม่วงคำ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ท่านได้เรียนนักธรรมชั้นต่างๆ จนสอบนักธรรมตรีได้ ในพ.ศ .๒๔๘๔ และนักธรรมโทได้ในปี ๒๔๘๖ และ นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ในสมัยที่ท่านเป็นหนุ่มท่านได้เดินธุดงค์จาก อ. แม่แตง ไปสู่ อ.ฝาง ไปตามป่าช้าต่างๆ ถึงสี่เดือน ท่านจึงกลับมาจำพรรษา ที่วัดอีกครั้งหนึ่ง
    FB_IMG_1684908874143.jpg
    ท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านปง เมื่อ วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๔๗๘ และได้รับการแต่งตั้ง เป็นเจ้าคณะตำบลอินทขิล ในวันที่ ๑ กันยายน ๒๔๘๙ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูชั้นตรี ที่ "พระครู ชัยวงศ์ วิวัฒน์" ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๗ และ ชั้นโท วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๔ ชันเอกวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๖ และ หลวงปู่ท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้มีโอกาสได้ร่วมเหตุการณ์ ประวัติศาสตร์ ล้านนา ซึ่งก็คือในตอนที่ท่าน ครูบาเจ้าศรีวิชัยได้เป็น ประธานการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ ในปี พ.ศ.๒๔๗๗ ท่านได้ร่วมกับโยมพ่อ วงษ์ และคณะศรัทธาญาติโยมวัดบ้านปง มาร่วมสร้างทางกับท่านครูบาเจ้าและท่านได้ฝากตัว และอุปัฏฐาก ท่านครูบาเจ้าศรีวิชัยและร่วมงานในการบูรณะวัดสวนดอก วัดพระสิงห์ และที่อื่นๆอีกมากมาย ครูบาน้อยท่านเป็นพระที่ใจดี มีเมตตาสูง ใครที่เคยไปกราบท่านมักจะประทับใจในรอยยิ้มของท่านอยู่เสมอครับ อีกทั้งท่านยังเป็นที่เคารพรักในบรรดา ลูกศิษย์ลูกหา และพระสงฆ์อีกจำนวนมากมายครับ หลวงปู่ครูบาน้อย
    0002-87.jpg
    ท่านได้มรณะภาพ เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๔๑ เวลา ๐๘ . ๓๐ น ด้วยโรคชรา สิริรวมอายุของท่านได้ ๑๐๑ ปี ปัจจุบันทางวัดได้เก็บรักษา สรีระร่างกายของท่านไว้ ในโลงแก้วที่วัดบ้านปง โดยสรีระของท่านยังคงเป็นปกติไม่เน่าไม่เปื่อยแต่อย่างใด
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงรูปเหมือนครูบาน้อยวัดบ้านโป่งปี 2537 ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30
    บาท

    IMG_20250716_190344.jpg IMG_20250716_190414.jpg IMG_20250716_190310.jpg
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,400
    ค่าพลัง:
    +21,404
    fb_img_1740663490067-jpg.jpg

    ศึกษาพุทธาคม เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาปฐวี เพราะมีความเสื่อมใสศรัทธาหลวงปู่ธูปเป็นอย่างยิ่ง หลวงพ่อโฉมสนใจในเรื่องไสยเวทย์มาตั้งแต่อายุ 10 กว่าปี เมื่อทราบว่าหลวงปู่ธูปมีความเชี่ยวชาญในด้านไสยเวทย์มาก มีความตั้งใจจะอยู่ใกล้ชิด ต้องการศึกษาวิชาจากหลวงปู่ธูป ได้มาจำพรรษาอยู่วัดเขาปฐวี ได้ใกล้ชิดรับใช้หลวงปู่ธูป หลวงพ่อโฉม ได้เรียนนักธรรมพร้อมศึกษาวิชาวิปัสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐานและไสยเวทย์ คาถาอาคมต่าง ๆ
    วิชาการหนุนธาตุทั้ง 4 วิชาบรรจุพลังเวทย์มนต์ให้คงอยู่ในวัตถุธาตุ ทำตะกรุดโทน ตะกรุดมหาลูด ทำผงเมตตา วิชาอยู่ยงคงกระพัน มหาอุต การขับคูณไสย ทำน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ จากหลวงปู่ธูป เจ้าอาวาสวัดเขาปฐวีองค์ก่อน หลวงปู่ธูป ท่านเป็นชาวอำเภอพรหมบุรี จ.สิงห์บุรี เป็นพระลูกมูล ชอบออกธุดงค์เป็นประจำ เคยเดินธุดงค์มาวัดเขาปฐวีถึง 3 ครั้ง ในครั้งหลังสุดประมาณปี พ.ศ.2485 ได้มาจำพรรษาอยู่วัดเขาปฐวี ได้นำเอาตำรับตำราไสยเวทย์ต่าง ๆ มาไว้ที่วัดเขาปฐวีมากมาย ท่านมาอยู่วัดเขาปฐวีจนได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส ส่วนตำราที่นำมาอยู่วัดเขาปฐวี มีของหลวงพ่อมา วัดปกมะพร้าวสูง ของหลวงพ่อเภา วัดถ้ำตะโก ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่ธูป กล่าวบอกหลวงพ่อโฉมว่า ท่านได้ศึกษาวิชาคาถาต่าง ๆ จากหลวงพ่อเภา วัดถ้ำตะโก อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี อยู่ไม่ไกลบ้านเกิดของท่าน และได้ธุดงค์ไป จ.นครสวรรค์ ไปเรียนวิชากับหลวงพ่อแก วัดส้มเสี้ยว ต่อจากวัดส้มเสี้ยว ก็ธุดงค์ต่อไป อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร ได้ไปวัดคฤหบดีสงฆ์ พบกับท่านพระครูวิบูลย์วชิรธรรม (หลวงพ่อสว่าง อุตตโร) เข้าปรึกษาขอเรียนวิชาไสยเวทย์ คาถาอาคม พิธีการบวงสรวง ปลุกเสกบรรจุพุทธคุณเข้มขลังด้านคงกระพันชาตรี และแคล้วคลาด จากนั้นก็เดินทางกลับผ่านมายัง อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท มีโยมชาวบ้านเป็นหมอไสยศาสตร์ ได้ถวายตำราอาคมต่าง ๆ ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าให้มา 1 เล่ม และได้ตกทอดมาอยู่วัดเขาปฐวี หลวงปู่ธูป อยู่ในวัย 70 กว่าปี ได้สอนวิชาคาถาอาคม ไสยเวทย์ต่าง ๆ ให้หลวงพ่อโฉม ตลอดมาจนถึงปีพ.ศ.2507 หลวงปู่ธูป ฉนฺทธมโม ก็ได้ละสังขารมรณภาพลงรวมสิริอายุได้ 82 ปี หลวงพ่อโฉม ถึงแม้ว่าจะเล่าเรียนวิชาไสยเวทย์ก็หาละทิ้งเรียนธรรมไม่ ท่านสอบได้นักธรรมเอกในปีพ.ศ.2504 เป็นเจ้าอาวาสวัดเขาปฐวี ต่อมาถึงปัจจุบันและต่อมาในปีพ.ศ.2534 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ ในเรื่องเรียนวิชาไสยเวทย์ในพรรษาที่ 9 ได้ไปขอเรียนวิชาสายหลวงพ่อเดิมกับพระครูอุเทศวรรณสารณ (หลวงพ่อปุย กตปุณโญ) วัดหนองสระ วิชาเสกมีดหมอ คาถาคงกระพัน คาถานางกวัก เสกเคี้ยวงา นอกจากนั้นอดีตเจ้าอาวาสยุคต้น ๆ ของวัดเขาปฐวียังมีหลวงพ่ออยู่ ได้เขียนตำราไสยเวทย์ทิ้งไว้ หลวงพ่อโฉมได้นำมาศึกษา มีวิชาขับคูณไสยทำตะกรุดคลอดลูก ตะกรุดป้องการผีป่า วิชานั่งทางในดูฤกษ์ยามอุบากอง เวลาปลูกบ้าน ออกรถ วางศิลาฤกษ์ การเดินทาง ลาสิกขา พระอาจารย์ของหลวงพ่ออีกองค์หนึ่งคือ หลวงพ่อพลอย วัดทุ่งโพธิ์ ท่านเป็นสายไหนไม่ทราบ แต่ว่าท่านเก่งเรื่องคงกระพันชาตรีและมหาอุต ด้านวาจาศักดิ์สิทธิ์มาก อยู่อำเภอหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี พูดถึงหลวงพ่อพลอย วัดทุ่งโพธิ์ ดังจากอุทัยเข้ามาถึงกรุงเทพฯ ว่าปากพระร่วง คงเป็นเพราะหลวงพ่อโฉมได้วิชาดีมากจากท่าน ทำให้หลวงพ่อโฉม ก็วาจาศักดิ์สิทธิ์ ส่วนวิชาหุงน้ำมันมนต์ รักษากระดูกแตก กระดูกหัก กระดูกร้าว ไปเรียนมาจาก พ.อ. ชม สุคันธ์รักษ์ และได้เรียนวิชาเสกปลักขิกกระโดดได้จากครูถึง อยู่จังหวัดสุพรรณบุรี ทำให้ปลัดมีชื่อเสียงโด่งดัง หลวงพ่อโฉมได้เรียนวิชากับพระเกจิอาจารย์สายเขาอ้อ จังหวัดพัทลุง ชื่อพระอาจารย์ขาว ท่านจำไม่ได้ว่าอยู่วัดอะไร พระอาจารย์ขาวบอกว่าวิชาที่สอนให้เป็นวิชาของสำนักเขาอ้อ เมื่อประมาณปีพ.ศ.2515 มีผู้ใหญ่บานได้ไปนิมนต์พระอาจารย์ขาว มาจากพัทลุงหลายครั้ง ได้นิมนต์ท่านมาพักที่วัดเขาปฐวีหลายครั้ง มีครั้งหนึ่งท่านมาจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาปฐวี 1 พรรษา และได้มาถ่ายทอดวิชาไล่ผีขับวิญญาณให้หลวงพ่อโฉม วิชาที่หลวงพ่อใช้เกี่ยวกับเรื่องไล่ผี ขับวิญญาณที่ใช้รักษาอยู่ทุกวันนี้ เป็นวิชาสายเขาอ้อของพระอาจารย์ขาวนั่นเอง รักษาได้ผลหายเกือบทุกรายไป ที่กล่าวเรื่องราวประวัติด้านศึกษาไสยเวทย์ของหลวงพ่อโฉม แสดงให้เห็นว่าท่านสนใจมุมานะ และมีวิชาไสยเวทย์เข้มขลังจริงเชื่อถือได้ 100%
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ล็อกเก็ตหลวงพ่อโฉมวัดเขาปฐวี
    ให้บูชา
    100 บาท ค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250716_200734.jpg IMG_20250716_200754.jpg
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,400
    ค่าพลัง:
    +21,404
    get_auc3_img (19).jpeg get_auc1_img (25).jpeg get_auc3_img (18).jpeg

    เหรียญ กรุงไทยแทคเตอร์ สร้างถวายคราวหลวงปู่มีอายุครบ 93 ปี ปี2536 จัดเป็นเหรียญรุ่นแรก วัดสวนหินผานางคอย
    โดย รณธรรม ธาราพันธุ์
    ในวันร่าเริงของเด็กชายวัย 6 ขวบคนหนึ่งที่บ้านห้วยไผ่ เมืองอุบลฯ ขณะที่เล่นเพลิดเพลินอยู่นั้นเอง สุนัขฝรั่งตัวใหญ่เกิดนึกหมั่นเขี้ยวเด็กอย่างไรไม่ทราบได้ มันตรงรี่เข้ากัดเด็กน้อยจนจมเขี้ยวแล้วสะบัดไปมากระทั่งเด็กล้มลง เมื่อผู้ใหญ่หายตะลึงเข้ามาไล่สุนัขไปก็รีบสำรวจบาดแผลเพื่อพาแกไปปฐมพยาบาล
    ไม่มีแผล !
    ที่เหลืออยู่คือรอยเขี้ยวคมซึ่งจมลงในหนังเป็นหลักฐานทิ้งไว้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเรื่องจริง
    ในวันที่ควรสนุกสนานจากการเดินทางของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งแห่งบ้านห้วยไผ่ เมืองอุบลฯ เขาเฮฮาไปกับครอบครัวและคนรู้จักในรถตู้โดยหารู้ไม่ว่ามีโศกนาฏกรรมใหญ่รออยู่เบื้องหน้า อุบัติเหตุที่ทำให้รถตู้ของเขาพลิกคว่ำระเนระนาดลงข้างทางทำให้คนในรถตายมากกว่ารอด ที่รอดได้ก็อาการสาหัสบาดเจ็บทั่วกัน เขาเป็นคนเดียวที่ช่วยคนนั้น ดูคนนี้ได้
    เพราะเขาไม่เป็นอะไรเลย !
    ทั้งสองเหตุการณ์ย่อมมีความต่างกัน ทั้งตัวบุคคล วันเวลา และสถานที่ แต่มีเพียง 3 สิ่งที่เหมือนกันราวนัดไว้คือ
    เด็กสองคนใส่เหรียญรุ่นแรกพิมพ์กลมหลวงปู่พรหมา
    เด็กสองคนเป็นคนบ้านห้วยไผ่
    และเด็กทั้งสองได้รับเหรียญจากเพื่อนบ้านห้วยไผ่เหมือนกัน...คือ...
    คุณอำพล เจน
    คุณอำพลได้รับมอบหมายโดยตรงจากหลวงปู่พรหมา เขมจาโร ให้เป็นผู้ดำเนินการกับเหรียญรุ่นแรกพิมพ์กลมครึ่งองค์นี้ตามที่เห็นควร ด้วยความเป็นผู้มากน้ำใจเมื่อได้มาท่านก็แบ่งปันเหรียญให้คนรู้จักทั้งประเภท ‘ใกล้ชิด’ และ ‘ไกลชิด’ ได้แขวนบูชาทั่วกัน
    แจกมากประสบการณ์ก็มาก โดยเฉพาะวัตถุมงคลในหลวงปู่พรหมา เขมจาโร นี้ถือได้ว่าแปลกกว่าหมู่ เพราะถ้าแจกหรือเปิดให้บูชาเมื่อใดจะมีประสบการณ์ตอบกลับมาให้ได้ยินในทันทีที่ของกระจายตัวออกไป บางทีก็เป็นประสบการณ์ธรรมชาติ บางทีก็เป็น...
    สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตเสียเอง
    ยุคนั้นคนแจ้งข่าวการทดลองยิงพระหลวงปู่พรหมาเข้าสู่หูคุณอำพลมากพอ ๆ กับรายงานข่าวการยิงกันทางภาคใต้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผมได้ยินว่าปรากฏผลเป็นที่น่าพอใจแทบทั้งสิ้น จะมียิงออกบ้างหรือไม่ไม่ทราบ เพราะที่ทราบได้ยินแต่ว่าไม่ออก
    ส่วนตัวผมไม่เคยได้ทดลองยิงเสียที ไม่ใช่ว่าเป็นคนดีอะไรดอก แต่มันไม่มีปืน ครั้นจะซื้อไว้เพื่อทดลองพระก็ดูจะเกินไป เลยเงี่ยหูคอยฟังข่าวขลังน่าจะ ‘เวอร์ค’ กว่า ถึงแม้มันจะไม่ ‘เวอร์ค’ เท่ากับโทรคุย 1 ชั่วโมงแต่จ่ายเพียง 3 นาทีก็เถิด
    พระหลวงปู่พรหมาใช่ว่าจะเด่นแต่ทางบู๊ เรื่องโชคลาภเงินทอง รุ่งเรืองบารมี ก็ปรากฏให้เห็นไม่ด้อยไปกว่ากันเลย เพียงแต่มันไม่ ‘ดัง’ อย่างเสียงปืนเท่านั้นเอง
    อภินิหารในหลวงปู่พรหมาขจรขจายไปทั่ว ไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยบ้านเราเท่านั้น ยังแผ่บารมีไปในประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ และที่สำคัญ
    ไปถึงอเมริกา
    เพื่อนคุณอำพลท่านหนึ่งคือ คุณเชอรี่ ได้ไปเปิดกิจการร้านอาหารไทยในย่านฮอลลีวูดชื่อร้าน ‘แบมบูเฮ้าส์’ บรรดาดาราที่ชื่นชอบรสชาติอาหารไทย อาทิ พอล นิวแมน ไมเคิล เจ ฟอกซ์ ก็มาทานบ่อยครั้ง ด้วยอัธยาศัยอันดีทำให้คุณเชอรี่มีลูกค้าและคนรู้จักมาก
    วันหนึ่งลูกค้าชาวอเมริกันก็ปรับทุกข์กับเธอว่า ที่บ้านเขานั้นมีอะไรไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว แรก ๆ ก็ได้ยินเสียงกุกกักคล้ายคนรื้อของอยู่ในครัว นานเข้าคนรื้อก็เริ่มปรากฏตัว เมื่อใดก็ตามที่ใครอยู่บ้านเพียงลำพัง จะได้เห็นใครบางคนที่ไม่ใช่คนในครอบครัวเขาเองยืนนิ่งอยู่ในครัวอย่างน่าสยองใจ ตอนหลังยิ่งหนัก ชักเห็นพร้อมกันเป็นหมู่คณะ ทีแรกเขาก็ไม่ค่อยเชื่อคำบอกเล่าของลูกเมียเท่าใดนัก แต่ในที่สุดเขาก็เจอเข้ากับตัวเอง ทำให้เกิดความหวาดกลัวบ้านที่อาศัยอยู่ จะเข้าบ้านคราวใด ทั้งเขาและลูกเมียก็ต้องลุ้นตัวโก่งว่าวันนี้จะเจอหรือไม่ ซึ่ง ‘ใครคนนั้น’ ก็ไม่ทำให้ครอบครัวนี้ผิดหวัง
    เพราะมายืนให้เห็นแทบทุกวัน
    คุณเชอรี่รับฟังอย่างเห็นใจ แม้ชายคนนั้นจะไม่เอ่ยปากว่าสิ่งที่เห็นนั่นเป็นอะไร แต่ความที่เป็นคนไทยชาวพุทธ คุณเชอรี่บอกกับตัวเองได้ทันทีว่าเขาและลูกเมียกำลังเผชิญหน้ากับ..
    ผี..!
    ค่าที่คุณเชอรี่เป็นศิษย์หลวงพ่อชาและเป็นเพื่อนกับคุณอำพล ก่อนมาอเมริกาคุณอำพลก็ให้พระไว้ไม่น้อย คุณเชอรี่เลยแบ่งพระผงว่านทรงกลมของหลวงปู่พรหมา ซึ่งเป็นพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 และเป็น ‘พระผงรุ่นแรก’ ของหลวงปู่ให้กับเขาไป 1 องค์ แม้เขาจะเป็นชาวคริสต์และไม่รู้จักเรื่องพระเครื่อง แต่เมื่อเห็นคุณเชอรี่ให้ด้วยน้ำใจ กอปรกับหมดที่พึ่งแล้วในยามนั้นก็รับไว้ด้วยดี
    ครั้นกลับถึงบ้านและเข้านอน ในคืนนั้นเอง เขาก็ฝันเห็นชายชราคนหนึ่งไม่มีผมไม่มีคิ้ว แต่งตัวด้วยผ้าสีเหลืองหน้าตาใจดี เดินเข้ามาในบ้านและตรงเข้ามาหาเขา ผู้เฒ่าคนนั้นหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ปรากฏให้เห็นครู่ใหญ่แล้วหายไป
    นับตั้งแต่วันนั้น เขาและลูกเมียก็ไม่เคยพบเห็นวิญญาณสยองในครัวนั่นอีกเลย ทั้งเสียงแปลก ๆ ในบ้านก็พลอยเงียบหายไปด้วย เขามั่นใจว่าต้องเป็นด้วยอานุภาพของพระเครื่ององค์น้อยนี้แน่ ๆ จึงเดินทางมาที่ร้านและลงมือเล่าประสบการณ์ให้คุณเชอรี่ฟัง ขณะกำลังเล่าอยู่นั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นหิ้งพระที่คุณเชอรี่ตั้งบูชาอยู่หน้าร้าน เขาก็เอะอะขึ้นทันทีว่า นี่แหละ ๆ คนแก่ที่เขาฝันเห็น หน้าตารูปร่างลักษณะแต่งตัวเหมือนอย่างในรูปนี้เปี๊ยบเลย คนนี้เป็นใคร ? ชื่ออะไร ? คุณเชอรี่มองตามมือที่ชี้ไป แล้วหันกลับมาตอบอย่างใจเย็นว่า
    “หลวงปู่พรหมา เขมจาโร”
    เมื่อเห็นฝรั่ง ‘ขนคิงลุก’ คุณเชอรี่ก็อธิบายให้ฟังว่า หลวงปู่พรหมาเป็นพระสงฆ์ไทย เป็นนักบวชที่มีความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ มีพลังจิตแก่กล้า และท่านได้ถ่ายพลังจิตบรรจุไว้ในรูปเคารพที่ให้คุณไปนั้นแหละ พระนั้นจึงมีพลังงานขึ้นมา ฝรั่งคนนั้นรับฟังอย่างเชื่อถือแน่นแฟ้น เพราะสิ่งที่เขาทำต่อมาคือเดินเข้าไปไหว้แบบไทย ๆ แสดงความเคารพต่อรูปหลวงปู่พรหมา และทุก ๆ วันในตอนเช้าก่อนที่เขาจะไปทำงาน เขาจะขี่มอเตอร์ไซค์ชอปเปอร์มาจอดที่หน้าร้าน ซึ่งเป็นเช้าตรู่ที่ยังไม่มีลูกค้าแล้วตรงเข้าไปไหว้รูปหลวงปู่พรหมาอย่างนอบน้อม จากนั้นก็จะกลับออกมาควบมอเตอร์ไซค์ไปทำงาน
    เป็นอย่างนี้ทุกวัน
    ผมรับฟังเรื่องนี้อย่างนึกอัศจรรย์ในบารมีครูบาอาจารย์ ดูทีหรือเขาไม่ใช่ชาวพุทธสักหน่อย แม้นับถือสักนิดในเบื้องต้นก็ไม่มี แต่ท่านก็ยังแผ่เมตตาไปปรากฏร่างให้เขาเห็นเป็นกำลังใจทั้งยังช่วยขับสิ่งไม่เป็นมงคลออกจากบ้านเขาด้วย
    อัปปะมาโณ สังโฆ
    คุณแห่งพระสงฆ์ไม่มีประมาณ... จริง ๆ
    คุณเชอรี่เองแม้จะเป็นผู้มีอัธยาศัยดีและไม่เคยที่เรื่องวิวาทบาดหมางให้เกิดศัตรูกับใครเลยก็ตาม วันหนึ่งในชีวิตก็ยังถูกลอบยิงจนได้
    วันนั้นเธอกำลังเดินเสิร์ฟอาหารให้กับลูกค้าในร้าน ขณะที่ยืนหันหลังไปหน้าร้านเจรจากับลูกค้าก็มีเสียงปืนดังสนั่นขึ้นหนึ่งนัด กระสุนทะลุกระจกเข้ามาดังเพล้ง เป็นรูตรงกับแผ่นหลังของเธอพอดี ลูกค้าคนหนึ่งร้องว่าเธอถูกยิงพร้อมกับจับเธอให้หมอบลง และพยานในร้านก็ทันเห็นคนยิงว่าเป็นวัยรุ่นผิวสีคนหนึ่งกำลังวิ่งหนี
    เมื่อคนร้ายเผ่นไปแล้วทุกคนก็เข้ามาสำรวจตัวเธอว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนบ้าง ปรากฏว่าคุณเชอรี่ปกติดีทุกอย่าง ทั้ง ๆ ที่วิถีกระสุนนั้นตรงตัวเธอพอดี ครั้นตำรวจแอลเอ.มาถึงก็ทำการค้นร้านหาหัวกระสุนเพื่อนำไปเป็นหลักฐาน หาเท่าไรก็ไม่เจอ จนตำรวจนายหนึ่งมาสำรวจกระจกด้านนอกร้าน จึงพบหัวกระสุนตกอยู่บริเวณกระจกที่ถูกเจาะรูเป็นรูปหัวลูกปืนนั่นเอง
    ‘อะไร’ ที่ต้านกระสุนไว้ไม่ให้ทะลุกระจกเข้ามาในร้าน เพราะถ้าหากลูกปืนหลุดเข้ามาได้ แผ่นหลังของเธอต้องไม่รอดจากการเป็นเป้าอย่างแน่นอน แม้ไม่ตายก็อาจสาหัส แม้ไม่เข้าก็อาจเจ็บตัวและเสียขวัญ ในกลุ่มตำรวจแอลเอ.นั้น มีนายหนึ่งเป็นคนไทยแท้ ๆ เขามองหน้าเธออย่างฉงน โดยไม่รอช้าคุณเชอรี่ล้วงสร้อยพระในคอขึ้นโชว์ ที่จำได้แน่ ๆ ก็มีพระเครื่องของ หลวงพ่อชา สุภัทโท หลวงปู่สิม พุทธาจาโร หลวงปู่คำพัน โฆษะปัญโญ และ หลวงปู่พรหมา เขมจาโร เธอพูดอย่างภูมิใจกับกลุ่มตำรวจว่า
    “ไอมีของดี”
    และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องแจกพระผงว่านรูปรัชกาลที่ 5 ให้แก่ตำรวจทั้งกลุ่มและทุกนายก็พกพระเครื่ององค์น้อยไว้ในเสื้อเกราะอ่อนที่สวมอยู่เป็นประจำ ทั้งยังบอกกับคุณเชอรี่ว่า “ไอเชื่อว่าของสิ่งนี้จะคุ้มภัยอันตรายให้ได้”
    นี่คือหลวงปู่พรหมา
    ความขลังของท่านเป็นที่เลื่องลือมาช้านาน คนที่เคยอาราธนาวัตถุมงคลของท่านติดตัวสม่ำเสมอย่อมเห็นชัดในอานุภาพไม่สงสัย ในช่วงปี พ.ศ. 2534-2538 ที่หลวงปู่พรหมากำลังร้อนสุดขีดนั้น คณะศิษย์กรุงไทยแทรคเตอร์ได้ทำเหรียญรูปหลวงปู่ขึ้น 2 แบบ คือ ชนิดรูปไข่เต็มองค์ และ รูปกลมครึ่งองค์ อันที่จริงเหรียญหลวงปู่พรหมามีรุ่นแรกมาแต่ปี พ.ศ. 2510 กว่า ๆ ตามด้วยรุ่น 2 และ 3 ในเวลาไร่เรี่ยกัน แต่ทุกวันนี้ไม่ต้องมองหาให้เสียเวลา นอกจากจะลองข้ามไปดูสนามพระฝั่งลาว
    เหรียญทั้งสามรุ่นมีจำนวนสร้างที่น้อยนิดจริง ๆ ไม่อาจค้นคว้าเสาะหาได้ จึงอนุโลมให้เหรียญรูปไข่และกลมที่ออกจากวัดสวนหินผานางคอย ภูกระเจียว นี้เป็น ‘รุ่นแรก’ ได้เต็มภาคภูมิ ในวันหนึ่งที่คุณอำพลขึ้นไปกราบหลวงปู่เป็นปกติ ท่านเอ่ยขึ้นว่า ลูกอำพลมีคนเขาทำเหรียญมาให้พ่อเยอะเลย ลูกเอาไปนะเผื่อจะเอาไปยุบทำชนวนหรือทำประโยชน์อะไร ถึงเป็นเหรียญครึ่งองค์ แต่พ่อก็สูตรให้เต็มที่ ดีเหมือน ๆ กัน
    ตอนนั้นเหรียญกลมครึ่งองค์ถูกบรรจุอยู่ในลังไม้หลายใบ ๆ หนึ่งผู้ชายสองคนยกยังไม่เขยื้อน คะเนว่าน่าจะมีเหรียญกลมอยู่ประมาณ 6,000 กว่าเหรียญ ขนาดรถกระบะที่ขนเหรียญลงมาจากภูยังถึงขั้นแหนบแอ่นไปเลย
    เมื่อนำเหรียญลงมาแล้ว อาจารย์อนันต์ สวัสดิสวนีย์ ก็นำไปทำชนวนจำนวนหนึ่ง ครั้นคุณอำพลจะนำไปมอบให้อีก อ.อนันต์ก็ว่าพอแล้ว ที่เอามาก็ยังใช้ไม่หมด เป็นอันว่าเหรียญยังตกค้างอยู่ที่คุณอำพลอีกราว 3,000 เหรียญเศษ และคุณอำพลก็ประกาศแจกให้ใครที่ต้องการเหรียญไปทำชนวนขลังในการสร้างพระ คราวหนึ่ง คุณบุญโรจน์ เจิมเพิ่มโรจน์ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ธนพงศ์) ได้ติดต่อคุณอำพลขอเหรียญไปเป็นชนวนร่วมหล่อพระของ พระเดชพระคุณพระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา คุณอำพลก็มอบให้ราว 10 เหรียญ
    เมื่อคุณบุญโรจน์นำเหรียญไปถวายหลวงพ่อพุธ ท่านก็รับไปถือไว้ในมือนิ่งอยู่ครู่ใหญ่แล้วกล่าวขึ้นว่า
    “เหรียญนี้เป็นของดี เป็นพระดี”
    จากนั้นก็เก็บเข้าย่ามไปเลย ทุกวันนี้จึงยังไม่รู้ว่าหลวงพ่อพุธหลอมเหรียญนั้นไปแล้วเพราะเห็นว่าดี หรือยังเก็บรักษาไว้เพราะเห็นว่าดี

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ


    IMG_20250716_200834.jpg IMG_20250716_200911.jpg
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,400
    ค่าพลัง:
    +21,404
    วันนี้จัดส่ง

    1752685478452.jpg

    1752677016975.jpg
    ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2025 at 00:00
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,400
    ค่าพลัง:
    +21,404
    FB_IMG_1725650682461.jpg

    หลวงพ่อวิชัยท่านเป็นพระผู้ทรงสุปฏิปันโน ผู้ทรงละแล้วซึ่งทางโลก ในสายหลวงปู่มั่น ท่านสำเร็จวิชาเสกหยกกันมะเร็งจากครูบาอาจารย์ที่มาสอนท่านในสมาธิ ท่านยังกล่าวยืนยันและยอมรับว่า หยกของท่านที่ผ่านการปลุกเสกแล้วสามารถช่วยปรับธาตุในร่างกายให้แข็งแรง ดูดสารพิษ ดูดโรคภัยในร่างกายได้ โดยเฉพาะโรคมะเร็งที่ท่านได้กล่าวยืนยัน
    ท่านก็เล่าว่า...มีลูกศิษย์ท่านคนหนึ่งเป็นฝรั่งอยู่ต่างประเทศ เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย (จริงๆ ท่านบอกแต่จำไม่ได้ว่าเป็นมะเร็งที่ใด)
    หมอที่นั่นบอกว่าอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน มาเจอท่านในสภาพตัวเหลือง ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
    ท่านเห็นแล้วก็เวทนา ก็เลยนำกำไลหยกมาอธิษฐานตามวิชาให้เขาไปใส่ โดยกำชับว่าให้ใส่ติดตัวไว้ตลอดเวลา
    จากที่หมดหวังอาการก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ จนแพทย์ที่ต่างประเทศยังแปลกใจ
    ทุกวันนี้เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ แถมอ้วนท้วนผิวพรรณดีจนเหมือนคนไม่ได้เป็นมะเร็งมาก่อน
    ชาวต่างชาติคนนี้นับถือหลวงพ่อมากและมากราบท่านเป็นประจำ
    เรียกท่านเป็น...ปาป๋า....เพราะเหมือนเป็นผู้ที่ให้ชีวิตใหม่กับเขาเลยทีเดียว
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ..ประวัติหลวงพ่อวิชัย เขมิโย วัดถ้ำผาจม..
    ..ชื่อเดิม “วิชัย คล่องแคล่ว” เกิดวันจันทร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีระกา ตรงกับวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๘ (สองพันสี่ร้อยแปดสิบแปด) ณ ที่บ้านหินลาด ตำบลกุดชมภู อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบุตรคนที่ ๓ ของนายบัว นางกอง คล่องแคล่ว (สำหรับคุณแม่บวชเป็นแม่ชีอยู่ด้วยขณะนี้) พ่อนั้นตายเสียตั้งแต่ข้าพเจ้าอายุได้ ๑ ขวบกว่า ๆ อาชีพเดิมของบิดามารดา คือการทำนาตามบรรพบุรุษหลายชั่วคน เมื่อตอนเล็ก ๆ ข้าพเจ้าชอบอยู่กับยาย คือแม่เอาข้าพเจ้าไปฝากยายไว้ซึ่งอยู่คนละบ้าน เพราะแม่ของข้าพเจ้าท่านได้ไปแต่งงานใหม่ ทำให้ข้าพเจ้ากับน้องได้ไปอยู่กับยาย
    ..นี่คือปฐมบทของชีวิตของเด็กน้อย ที่ได้เริ่มรู้จักกับความว้าเหว่อ้างว้างของลูกที่กำพร้าพ่อและพลัดพรากจากแม่เมื่อข้าพเจ้าอายุได้ ๗ ขวบ ยายก็ให้เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนบ้านแก่งเจริญ ข้าพเจ้าทำงานหนักที่พอจะทำได้มาตั้งแต่เด็ก ๆ จะเรียกว่าเป็นชีวิตทั้งกำพร้าพ่อแม่ก็ว่าได้เพราะไม่ค่อยจะได้อยู่กับแม่ ข้าพเจ้าได้ช่วยยายและพวกน้าผู้หญิงผู้ชายทำงาน กล่าวคือเมื่อตื่นขึ้นมาก็ต้องไปตักน้ำใส่ตุ่มน้ำกินน้ำใช้ เพราะหมู่บ้านที่อยู่นั้นบ่อน้ำอยู่ห่างไกลออกไปประมาณ ๑ กม. และเมื่อตักน้ำกินมาไว้เต็มตุ่มแล้ว ข้าพเจ้าก็ต้องลงไปตักน้ำในแม่น้ำมูลมาใช้และรดห้างพลูกินหมากให้ยาย นี่เป็นงานประจำตอนเด็ก นอกจากนั้น ยังต้องช่วยน้าผู้หญิงตำข้าวด้วย เพราะสมัยนั้นหมู่บ้านแถบนี้ยังไม่มีโรงสีข้าว
    ..ชีวิตข้าพเจ้าจึงตกระกำลำบาก เด็กเพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันเขาสบายกันมาก ส่วนข้าพเจ้าเวลากินก็แสนจะลำบาก แม้แต่เวลานอนก็ลำบาก ถึงฤดูทำนาต้องไปนอนที่กระท่อมนากับน้าผู้ชาย ตื่นเช้ามาต้องนึ่งข้าวเหนียวหุงข้าวให้น้า เพราะน้าตื่นขึ้นมาก็รับไปไถนา เมื่อหุงข้าวเสร็จ ก็ต้องหามฟืนกลับบ้านซึ่งห่างจากทุ่งนาประมาณ ๔ กม. พอถึงบ้านก็ต้องรีบกินข้าวไปโรงเรียน ระยะทางจากหมู่บ้านไปถึงโรงเรียน ๓ กม. สมัยนั้นยังไม่พัฒนา ทางการให้ ๓ - ๔ หมู่บ้านไปเรียนหนังสือรวมกันที่โรงเรียนแห่งเดียว ทำให้เด็กนักเรียนแต่ละหมู่บ้านต้องเดินไปเรียนกันทางไกลหน่อย พอเลิกเรียนในตอนบ่าย ก็เดินกลับบ้านรีบกินข้าว ซึ่งส่วนมากเป็นข้าวเหนียวในก่องข้าวหรือกระติบเย็นชืดกับปลาร้าและพริกแทบทุกวัน อร่อยมากเพราะหิว คนเราเมื่อหิวกินอะไรก็อร่อยทั้งนั้น จากนั้นก็เอากระบุงใส่ปุ๋ยคอกหาบไปทุ่งนาวันละหาบเฉพาะตอนเย็นการไปนาและกลับมาบ้านนั้น บ่าของข้าพเจ้าจะไม่ว่างจากไม้คานเลย
    ..เพื่อนฝูงที่เขามีนาอยู่ใกล้กัน ๔ - ๕ คน เขาเดินไปตัวเปล่าเดินมาตัวเปล่าหยอกล้อกันบ้าง วิ่งไล่จับกันสนุกสนาน ส่วนข้าพเจ้าทำไม่ได้เพราะบ่าต้องหาบคอนใส่ของหนังอึ้ง หมดสนุกสนานมีแต่ความเศร้าสร้อย
    น้าผู้ชายท่านรักข้าพเจ้ามาก รักเสมือนลูกของท่านจริง ๆ ส่วนน้าผู้หญิงนั้นแกไม่รักข้าพเจ้าเลย ชอบข่มเหงรังแกตลอดเวลา บางครั้งทำอะไรไม่ทันใจแกก็จะจิกหัวหรือเฆี่ยนเอา แต่ถ้าน้าผู้ชายเห็นแล้วจะทำไม่ได้ ชีวิตของข้าพเจ้าหากไม่มีน้าผู้ชายช่วยปกป้องแล้วลำบากแสนเข็ญมาก แม้แต่เวลาเข้าเรียนหนังสือเพื่อนเขาได้กระดานใหม่ ๆ คือ กระดานชนวน ได้กางเกงใหม่ เสื้อใหม่ ดินสอใหม่ ส่วนข้าพเจ้าไม่เคยได้เขียนกระดานใหม่ ไม่เคยได้ดินสอใหม่แท่งยาว ๆ เหมือนเขาเลย
    ..ยายเป็นคนตระหนี่ประหยัด จึงให้ใช้กระดานแตก ๆ แต่พอเขียนได้ ดินสอก็สั้น ๆ กุด ๆ แม้แต่กางเกงของข้าพเจ้าก็ขาดกะรุ่งกะริ่ง เพื่อนชอบล้อเล่นอยู่เรื่อยว่า “ลุงก็มาโรงเรียนเหรอ?” หนังสือเรียนก็เก็บเอาของเก่าเขามาให้อ่าน ขาดไปก็มี แต่ก็ยังเป็นบุญบารมีของข้าพเจ้าที่เรียนหนังสือได้เก่งพอสมควร ได้เป็นหัวหน้าชั้นบ่อยที่สุด พูดถึงของใช้แล้ว น้อยนักน้อยหนาที่จะได้ใช้ของใหม่ ๆ ดี ๆ ถ้าเป็นผ้านุ่งผ่าห่มก็รับเอาของเก่าพี่ชายบ้าง ยายเอาของคนอื่นมาให้บ้าง
    ..พอถึงหน้าหนาว ผ้าห่มก็แสนจะขาดปะแล้วปะอีก กางเกงและเสื้อก็ปะแล้วปะอีก ชีวิตของลูกกำพร้าที่อยู่อาศัยยายและน้านั้นแสนจะลำบากเหลือเกิน ชีวิตเอ๋ยช่างอาภัพโชคกระไรหนออย่างนี้ มองดูชีวิตเพื่อนรุ่นเดียวกันเขาช่างมีความสุขมาก ครั้นพออายุได้ ๘ ขวบ เรียนอยู่ประถม ๒ พี่ชายลูกคนละพ่อเขาไปบวชเป็นสามเณร จิตใจของข้าพเจ้าอยากจะตามไปบวชด้วยเหลือเกิน ได้เห็นพี่ชายห่มผ้าจีวรเหลืองอร่ามเหมือนทองดอกบวบงามจับใจ ทำให้ใจไม่อยากจะอยู่บ้านเลย เพราะอยู่บ้านกับยายกับน้าผู้หญิง มีแต่ความทุกข์กายทุกข์ใจเสมอจะยากลำบากกับการงานหนักเกินวัยเด็ก
    ..เวลาเช้าฤดูแล้ง ยายให้ไปส่งข้าวเณรพี่ชายที่วัดทุกเช้า ข้าพเจ้าบอกเณรพี่ชายให้หาหนังสือพระเณรที่เกี่ยวกับการบอกวิธีบวชเรียนและสวดมนต์มาให้ พี่เณรก็เอาหนังสือเจ็ดตำนานมาให้อ่านและได้บอกคำขอบวชให้ด้วย ข้าพเจ้าเอามาอ่านมาท่องทุกวัน ท่องคล่องปากเพราะเคยได้ยินพระสงฆ์ท่านสวดมนต์อยู่เสมอ วันไหนว่างก็แอบไปวัด เพราะวัดคือสถานที่เล่นเย็นใจหรือสนุกสนานของเด็ก ๆ บ้านนอก เมื่อไปวัดก็ท่องคำขอบบวชเณรให้ขึ้นและได้ขอร้องให้พี่เณรมาช่วยพูดกับยาย ขอร้องให้ยายอนุญาตให้ข้าพเจ้าบวชเณรบ้างพี่เณรก็บอกว่าเรียนหนังสือยังไม่ทันจบ ป.๔ บวชเณรไม่ได้หรอก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ฟัง ได้รบเร้าอยู่เรื่อย ๆ จนพี่เณรทนไม่ไหวต้องมาบอกยาย เลยโดยยายตวาดเอา แต่ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็ไม่ลดละความพยายามจะบวชให้ได้ ปีต่อมาข้าพเจ้าพยายามหาวิธีบวชให้ได้ วันไหนว่างแอบไปฟังท่านอาจารย์ที่วัดเทศน์และสนทนากับท่านบ้าง ท่านก็ชวนบวช ทำให้ศรัทธาของข้าพเจ้ายิ่งมีมากขึ้น บางวันไถนาปลูกข้าวอยู่แต่ร่างกาย ส่วนจิตใจมาอยู่วัดตลอดเวลา
    ..วันหนึ่งปลูกข้าวอยู่กับแม่ เป็นวัน ๗ ค่ำ ซึ่งทางภาคอีสาน พอถึงวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ พระเณรที่วัดต้องตีกลองให้สัญญาณบอกวันโกนวันพระ เขาเรียกว่าตีกลองแลง ( แลง แปลว่า ตอนเย็น) แม้แต่ตี ๔ ตอนกลางคืนก็ตีกลองอีก ตีสลับกับฆ้องเรียกว่าตีกลองดึก เสียงวังเวง ฝูงหมาจะเห่าหอนกันเกรียวทีเดียว วันนั้นพอได้ยินพระท่านตีกลองแลง จิตใจของข้าพเจ้าหวิว ๆ อย่างไรบอกไม่ถูก บอกแม่ว่าเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วผมต้องบวชให้ได้ แม่ก็บอกว่า แม่จะบวชให้ลูกทุก ๆ คนนั่นแหละ ข้าพเจ้าดีใจแสนจะดีใจบอกไม่ถูก ถึงวันพะข้าพเจ้าชอบทำบุญตักบาตร แม้แต่ไปเที่ยววัดไหนยามมีงานวัด ก็ต้องทำบุญก่อนเที่ยว เรื่องทำบุญนี้ทำเองด้วยใจรัก ไม่มีใครบอก เป็นฉันทะความพอใจความเลื่อมใสจากส่วนลึกของหัวใจ
    ..แม่เอาเงินให้ไปเที่ยวดูโน่นดูนี่ แต่ข้าพเจ้ากลับเอาเงินไปทำบุญหมดก็มี จิตใจมีแต่เมตตาความรักความเอ็นดูสงสารต่อคนอื่นเสมอ แม้แต่สัตว์ เป็นต้นว่าไก่ก็ไม่เคยฆ่า สุนัข แมว วัว ควาย ไม่เคยฆ่า มีเมตตาสงสารสัตว์เหล่านี้เสมอ เห็นใครเขาเชือดคอเป็ดคอไก่แล้วต้องรีบเดินหนีด้วยความสงสาร เห็นคนขับเกวียนบรรทุกฟืนเพียบแปล้ เอาดุ้นฟืนขนาดเท่าแขนตีวัวเทียมเกวียน บังคับขู่เข็ญให้วัวลากเกวียนไป แต่วัวหมดแรงลากไม่ไหวถูกตีจนล้มฟุบ ขี้แตกออกมา ข้าพเจ้าเห็นแล้วถึงกับร้องไห้ด้วยความสงสาร โอหนอ ทำไมคนเราใจคอโหดร้าย ใช้สัตว์ทำงานทารุณถึงปานนั้น ช่างไม่คิดเวทนาสงสารวัวลากเกวียนเอาเสียเลย หรือว่าชาติปางก่อน วัวตัวนั้นเคยเป็นคนทำบาปชั่วมามาก ชาตินี้เลยมาเกิดเป็นวัวให้คนเขาทุบตีใช้งานหนักเช่นนี้เป็นการใช้กรรมเวร? เพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันชอบล้อว่า พ่อใจบุญ ๆ ๆ ทำให้ข้าพเจ้าปลื้มใจเสมอ
    ..เริ่มบวชเป็นสามเณร อายุ ๑๗ ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ณ วัดเวฬุวัน บ้านหนองไผ่ ตำบลดอนจิก อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลธานี โดยมีท่านพระครูสุนทรธรรมวิบูลย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชในช่วง ๑๐.๐๐ น. ตกกลางคืนมาก็เริ่มปฏิบัติสมาธิเป็นแล้ว เพราะเคยฝึกมาก่อนบวช การนำจิตเข้าสู่สมาธิจึงทำได้พอสมควร ปฏิบัติมาตลอดทุก ๆ วันในพรรษาแรก จิตก็เข้าสมาธิได้สม่ำเสมอแล้ว
    ..พรรษาที่สอง สอบนักธรรมตรีได้ และการปฏิบัติเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ ในกลางพรรษาที่สอง เห็นพระพุทธองค์ทรงเสด็จมาประทับอยู่ที่หิ้งพระ แย้มพระโอษฐ์อยู่นานพอสมควรจึงเสด็จไป
    ..พ.ศ.๒๕๐๘ ย้ายมาอยู่วัดสว่างอารมณ์ บ้านเสียม ตำบลหัวดอน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี เรียนนักธรรมชั้นโท แต่ก็สอบไม่ผ่าน ออกพรรษา หมดเขตกฐิน ก็ได้บวชเป็นพระภิกษุ วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๘ เวลา ๐๖.๐๐ น. บวชไม่กี่วันก็ได้เดินธุดงค์ไปประเทศลาวกับหลวงปู่ไพ ไปพบหลวงพ่อมหาผ่อง เมืองโพนทอง ไปภูมะโรง พบอาจารย์บุญมาก ข้ามแพยนต์ไปที่จังหวัดปากเซ แล้วก็เดินธุดงค์ไปเรื่อยๆ จนถึงบ้านยิก เลยไปถึงอัตบามือ ใกล้เมืองสาลวัน ติดต่อเขตแดนลาว เวียดนาม ย้อนกลับมาทางจังหวัดจำปาสัก
    เดินธุดงค์อยู่ทางประเทศลาวนานพอสมควร จึงได้กลับขึ้นมาประเทศไทย ปี ๒๕๐๙ จำพรรษาอยู่วัดบ้านหัวดูน ตำบลชีทวน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ปฏิบัติไปด้วยศึกษาธรรมไปด้วย ก็สอบนักธรรมชั้นโทได้ กลับมาอยู่วัดสว่างอารมณ์บ้านเสียมอีกครั้งหนึ่ง ศึกษานักธรรมชั้นเอกต่อ
    ..ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้ออกจากวัดสว่างอารมณ์ มุ่งหน้าต่อไปทางอุดธานี เดินธุดงค์อยู่ตามภูเก้า อำเภอหนองบัวลำภู ขณะนี้เป็นจังหวัดไปแล้ว และเดินอยู่หลายอำเภอ เพราะแถบนั้นมีป่าเขามาก ในปีนั้นก็ได้เดินกลับมาจำพรรษาอยู่วัดบ้านกุดจิก ตำบลห้อยเกิ้ง อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานีออกพรรษาเดินทางไปเวียงจันทร์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศลาว นานพอสมควรก็ได้ข้ามมาประเทศไทย
    ..ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ จำพรรษาอยู่บ้านกุดจิกต่อ ออกพรรษาก็ได้เดินทางกลับไปเวียงจันทน์อีก
    ..ปี ๒๕๑๔ เดินทางไปอบรมพระพัฒนาการทางจิต ที่จิตภาวันวิทยาลัย อำเภอบางละมุง ได้ปฏิบัติอย่างเต็มที่ เสร็จจากการอบรมเป็นเวลาสามเดือนก็เดินทางกลับอุดรอีกครั้งหนึ่ง ได้ลาญาติโยมเดินธุดงค์ลงภาคใต้ ได้ไปจำพรรษาอยู่วัดท้าวโครต ขณะนี้เปลี่ยนเป็นวัดชายนา ตำบลนา อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ปฏิบัติที่นี่เป็นเวลา ๒ ปี
    ..ในช่วงอยู่วัดชายนานี้ได้มีโอกาสทำความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ มอบกายถวายชีวิต ค้นคว้าหาสัจธรรมโดยไม่คำนึงถึงตายตามอยู่ หมายถึงเอากายเป็นเดิมพัน ตายเป็นตาย อยู่เดือนปี ไม่มีใจดวงจิต มุ่งหน้าตั้งตาเอาชนะจิตของตัวเอง และเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ในช่วงฤดูแล้ง บางโอกาสก็ออกแสวงหาวิเวก โดยการเดินธุดงค์ไปตามสถานที่สงัด ๆ บางครั้งก็ไปสามเดือนสี่เดือน ก็ย้อนกลับมารับโอวาทจากหลวงพ่อใหญ่ ธมฺมธโร ออกพรรษาก็เดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ไปแทบทุกจังหวัด และทุกภาคด้วย
    ..มีอยู่ช่วงหนึ่งร่างกายสังขารซูบผอมมาก เดินก้าวขาแทบจะไม่ออก ซึ่งได้แวะเข้าไปพักปฏิบัติอยู่สวนโมกข์นานพอสมควร จวนจะเข้าพรรษา ปี ๒๕๑๕ จึงได้กราบลาหลวงพ่อพุทธทาสไปเดินทางไปเกาะสมุย แล้วเข้าจังหวัดนครศรีธรรมราช จำพรรษาที่วัดชายนาอีกครั้งหนึ่ง ออกพรรษาก็ได้เดินธุดงค์กลับทางภาคอีสาน และก็ย้อนกลับลงไปภาคใต้อีก เพื่อจะไปกราบลาหลวงพ่อธมฺมธโร เดินทางไปประเทศพม่าตามความตั้งใจไว้ จึงได้ออกมาองค์เดียว เดินขึ้นมาเรื่อย ๆ ขึ้นมาถึงกรุงเทพแล้ว ก็แวะไปภาคตะวันออกแถวจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ขึ้นมาทางปราจีนบุรี นครนายก สระบุรี มาป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ไม่สามารถจะเดินทางต่อได้ และเข้าไปพักอยู่วัดเขาเทพพนมยงค์ ในช่วงนั้นหลวงปู่ไวยังไม่ได้ไปอยู่ ขณะป่วยอยู่นั้น ยาข้าวก็ไม่ได้กิน หลวงพ่อแก่ ๆ ท่านจัดให้อยู่กุฏิหลวงเก่า ๆ โทรมแล้ว โดยไม่มีใครมาถามข่าวคราวอะไรทั้งสิ้น นั่ง นอน กำหนดจิตต่อเนื่องกันอยู่ตลอดเวลา นึกว่าเป็นไข้อย่างอื่นเข้ามาแทรกเสียแล้ว เพราะมีความร้อนผิดปกติมาก ก็ได้เอาแต่น้ำเย็นลูบตัวของตัวเอง แก้ไขทางกายเราถือว่าไม่ยาก แต่การแก้ไขทางจิตใจนั้นยุ่งยากกว่า ก็เลยไม่ได้ห่วงมากเท่าไหร่นัก แต่เรื่องจิตใจนั้น จะต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ จิตใจป่วยร้ายกว่ากายป่วย กายป่วยไม่นานก็หาย แต่จิตใจป่วยนั้นหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่นชาติ ที่คอยรักษาจิตใจอยู่ตลอดเวลานั้น ก็เพื่อจะให้เป็นผู้หายป่วยใจเสียที จะได้เป็นอิสระไม่ตกเป็นทาสของโรคชั่วร้ายทั้งหลาย
    ..พออาการป่วยทุเลาลงแล้ว ก็เดินทางต่อมุ่งสู่ภาคเหนือ มีจังหวัดเชียงใหม่เป็นจุดแรก ได้ยินกิตติศัพท์ของครูบาอินทจักร วัดน้ำบ่อหลวง จิตมีความตั้งใจจะไปศึกษาธรรมกับท่าน ก็ได้ไปถึงเชียงใหม่ตามความตั้งใจครั้งแรกไปพักอยู่ที่วัดอุโมงค์ ย้ายไปพักอยู่ ๔ วัดเมืองบาง จากนั้นจึงได้เดินไปวัดน้ำบ่อหลวง อำเภอสันป่าตอง บำเพ็ญเพียรปฏิบัติอยู่ที่นี่นานพอสมควร และได้มาตั้งใจท่องปาฏิโมกข์จบอยู่ที่วัดนี้ ท่องอยู่ ๒๔ วันพอดี ความคิดที่จะเดินทางไปจำพรรษาที่ประเทศพม่ายังสะกิดใจอยู่ตอลด จึงได้กราบลาครูเจ้าอินทจักร์เดินทางต่อไป
    ..จากเชียงใหม่เข้าจังหวัดลำพูน มาพักศึกษาธรรมกับครูบาเจ้าพรหมจักร์ ก็เป็นเวลานานพอสมควร ก็เดินทางต่อขึ้นไปทางจังหวัดลำปาง เลยไปถึงเชียงราย ต่อถึงอำเภอแม่สาย ข้ามไปประเทศพม่าจะเดินทางต่อไปเชียงตุง กะว่าจะจำพรรษาที่จังหวัดเชียงตุง บังเอิญเจ้าหน้าที่พม่าไม่ยอมให้ไป จึงได้เดินวนไปมาในแถวเชียงรายหลายอำเภอที่สุดจวนจะเข้าพรรษา จึงได้มาพักจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำผาจม ซึ่งขณะนั้นยังเป็นป่าเขาอยู่มาก และเงียบสงบ เหมาะสมกับผู้แสวงหาความวิเวกดี ในพรรษานั้นจึงได้ตั้งใจปฏิบัติเต็มที่
    ..ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ จำพรรษาอยู่ถ้ำผาจม ออกพรรษาก็เดินธุดงค์อยู่ในบริเวณจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่
    ..ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ จำพรรษาอยู่ถ้ำผาจรุย บ้านป่าแงะ ตำบลแงะ อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย พักปฏิบัติอยู่ที่นี่ ๑๔ เดือน
    ..ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ก็ได้ย้อนกลับมาจำพรรษาอยู่วัดถ้ำผาจมอีกครั้งหนึ่ง จนถึงในปัจจุบันนี้ แต่ละปีนั้นจะออกแสวงหาวิเวกตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นประจำทุกปี
    ..และถึงแก่มรณภาพด้วยอาการสงบในวันศุกร์ที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๗ เมื่อเวลา ๑๐.๐๖ น. สิริรวมอายุ ๗๘ ปี ๕๘ พรรษา..

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระปิดตาเจริญลาภด้านหลังฝังข้าวสารหินและรูปถ่ายหลวงพ่อวิชัยถ้ำผาจม เชียงราย

    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250717_181435.jpg IMG_20250717_181451.jpg IMG_20250717_181241.jpg IMG_20250717_181307.jpg IMG_20250717_181342.jpg IMG_20250717_181403.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2025 at 19:04
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,400
    ค่าพลัง:
    +21,404
    FB_IMG_1752756332803.jpg

    เจ้าตำหรับ ตะกรุดปืนแตก
    มหาอุตย์
    ยุคแรกที่สมัยก่อนลูกศิษย์ที่เป็นทหารได้นำปลอกลูกปืนมาถวายหลวงพ่อ ช่วงสมัยนั้นหลวงพ่อดังมาก มีการลองยิงหลังหวัด ปืนยิงไม่ออกบ้าง ปืนแตกบ้าง ปืนแตกใส่มือบ้าง จนเป็นฉายา หลวงพ่อเสาร์ปืนแตก (หลวงพ่อไม่ชอบคนลองครับ)
    ประวัติหลวงพ่อเสาว์โดยสังเขป หลวง พ่อเสาว์ เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม 2476 ที่บ้านหมู่ที่ 5 ต.ดอนหญ้านาง อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา อุปสมบทเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2496 ที่วัดดอนหญ้างนางโดยมีพระครูสุนทรธรรมนิวิฐ (หลวงพ่อชื่น) เจ้าอาวาสวัดภาชี เป็นพระอุปัชฌาย์พระครูวิจารธรรมทิจ วัดวิมลสุนทร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูสุนทรธรรมนิวิฐ (หลวงพ่อรวย วัดตะโก) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลังจากอุปสมบทแล้วท่านได้ศึกษาเล่าเรียนจนสามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอปี 2516 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดดอนหญ้านาง ปี 2530 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นโท ในราชทินนาม"พระครูพินิตสังฆการ"ปี 2546 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลหนองน้ำใส อ.ภาชี ปี 2547 เป็นพระอุปัชฌาย์ ปี 2552 ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าคณะอำเภอภาชี หลวงพ่อเสาว์ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาตามสายพุทธาคมจากหลวงพ่อชื่น วัดภาชี และ หลวงพ่อนอ วัดกลาง อ. ท่าเรือ สำหรับวัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมและสร้างชื่อเสียงให้ท่านเป็นอย่างมาก คือตะกรุดลูกปืน พระสมเด็จรุ่นแรก และเหรียญรุ่นแรกของท่านหลวงพ่อเสาว์ท่านมรณภาพเมื่อช่วงดึกของ วันที่๑๙ ก.ย. ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา(ซึ่งตรงกับวันพระ) สิริรวมอายุได้ 76 ปี พรรษา 57 โดย ทางวัดได้จัดงานบำเพ็ญกุศลศพที่ วัดดอนหญ้านาง และเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา เจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมคณะสงฆ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการต่างๆในจังหวัดและศิษยานุศิษย์จำนวนมาก ได้ร่วมพิธีพระราชทานน้ำสรงศพ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระปิดตาจัมโบ้เสาร์๑ ผสมพลอย ฝังตะกรุด๑ดอกด้านหลังจารหมึกลงยันต์ แต่ องค์นี้ แตก ด้านล่าง ให้ บูชาตามสภาพ ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250717_190619.jpg IMG_20250717_190649.jpg IMG_20250717_192017.jpg IMG_20250717_192118.jpg
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,400
    ค่าพลัง:
    +21,404
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    ประวัติเซียน ลื้อท๊งปิง วิหารเซียน จ.ชลบุรี



    อันนี้ออกตัวก่อนว่าเอามาจากพี่ช้าง ในเว็บๆนึงนะครับ ไม่ใช่ความรู้ของผมแต่อย่างใด ลองอ่านดูครับ (คำว่า "ผม" ในที่นี้คือ คุณช้าง คนที่ข้อมูลมานะครับ ไม่ใช่ตัวข้าน้อย)

    กระผมเคยคุยกับท่านอ.สง่า ที่เป็นผู้ก่อตั้งวิหารเซียนที่ชลบุรี ท่านบอกว่า องค์ลื่อตงปินสามารถสื่อกับท่านได้โดยทางจิตแต่ท่านไม่เคยเห็นตัวองค์ท่าน ทางนิมิตเลย ท่านบอกว่าตำแหน่งของท่านลื่อตงปินมีหน้าที่เหมือนรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยมี หน้าที่คอยดูแลความสงบเรียบร้อยและปรามปรามผู้ร้าย

    มูลเหตุที่ท่านได้รู้จักกับองค์ท่านนั้นเนื่องมาจากคุณแม่ของอ.สง่าท่านป่วย เป็นโรคทานอะไรไม่ได้ ทำให้ไม่มีกำลังแม้แต่จะลุกยืน ตอนนั้นพวกญาติท่านก็พาไปหาซินแสหรือหมอแผนปัจจุบันมาหลายท่านก็ไม่ดีขึ้น ประจวบกับท่านอ.สง่าในสมัยนั้นไม่ค่อยเชื่อในเรื่องการเผาฮู้ต้มกินแล้วจะ หาย ยิ่งพวกเข้าทรงเจ้าต่างๆท่านไม่เชื่อเลย แต่เมื่อเป็นความต้องกรของญาติๆก็เลยได้แตลองทำดูเพราะไม่มีวิธีอื่นแล้ว จนวันหนึ่งได้เชิญคนทรงมาซึ่งคนทรงนี้ตามปกติจะไม่ใช่ร่างทรงของท่านองค์ เซียนลื่อตงปิน แต่เป็นร่างทรงเทพองค์อื่น แต่วันนั้นพอทำพิธีอัญเชิญปั๊บ ท่านลื่อตงปินก็มาประทับทรงทันทีและก็อกว่าจะช่วยให้คุณแม่ของอ.สง่าลุกเดิน ได้หายภายใน3เดือน แต่มีข้อแม้ว่าอ.สง่าจะต้องทำงานรับใช้ท่าน ซึ่งท่านอ.สง่าก็ได้ถามว่าจะให้ทำอะไรถ้าให้เป็นร่างทรงแบบนี้ท่านไม่เอาและ ท่านก็ไม่เคยศึกษาศาสตร์แนวนี้มาก่อน ม่านลื่อตงปินก็บอกว่าไม่เป็นไรท่านจะคอยช่วยบอกให้เองว่าจะต้องทำอะไร แล้วท่านก็ขียนฮู้ให้ อ.สง่าเก็บไว้เผาให้คุณแม่ของท่านละลายน้ำดื่ม ซึ่งก็ปรากฏว่าพอครบ3เดือนคุณแม่ท่านก็แข็งแรงเป็นปรกติเดินได้ดังเดิม ท่านลื่อตงปินก็มาทวงสัญญาอ.สง่าจึงต้องยอมทำงานรับใช้ท่านสงเคราะห์มนุษย์ โดยที่ท่านกับอ.จะสื่อสัมผัสทางใจกัน เหมือนเป็นอ.กับลูกศิษย์ อภินิหารขององค์เซียนลื่อตงปินที่วิหารเซียนมีเยอะครับ เอาไว้มีเวลาจะมาเล่าเป็นเรื่องๆไปครับ เช่นเรื่องตอนช่วยสร้างวัดญาณสังวร ชลบุรี ตอนปราบมังกรเขียว ตอนไฟไหม้โรงแรมที่พัทยา ตอนที่ช่วยกิจการของเจ้าของผลิตภัณฑ์จากไก่รายใหญ่ ตอนช่วยเจ้าของตึกใบหยกทาวเวอร์ ตอนช่วยแบงค์กสิกรที่จะล่มช่วงIMF

    อีก อย่างหนึ่งคือเพื่อนผมคนหนึ่งเขาบูชาพระผงท่านลื่อตงปินจากที่วิหารเซียนที่ ชลบุรีไป วันหนึ่งก็เจอนักจับพลังพระ ขณะที่นักจับพลังพระกำลังตรวจพระของคนอื่นอยู่ว่าดียังไง จู่ๆเขาก็หันมาที่เพื่อนของกระผมแล้วถามว่เขาห้อยพระอะไรอยู่(พระอยู่ใน เสื้อ ไม่ได้ห้อยออกมาข้างนอก)เพราะเขาเห็นรัศมีสีชมพูพุ่งออกมาดีทางเมตตาร่มเย็น และพลังนี้หมุนวนกลับไปกลับมาเหมือนหยินและหยาง ซึ่งตั้งแต่เขาตรวจพระมาไม่เคยเจอบบนี้เขาก็เลยขอดูพระของเพื่อนผม พอเขาเห็นพระเเล้วเขาก็เลยหายสงสัยว่าทำไมจึงมีพลังแบบนี้ พระนี้คิดว่าที่ทางวิหารเซียนยังมีอยู่นะครับ ผมเองยังเคยไปงานวันที่เขาอัญเชิญท่านองค์ลื่อตงปินมาประทับทรงที่วิหาร เซียนเลย


    สมัยที่สร้างวัดญาณสังวรวราราม ชลบุรีใหม่ๆนั้น ได้ประสบปัญหาและอุปสรรคนานาชนืดทั้งที่เกิดจากคนงานก่อสร้าง และจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน จึงได้เชิญผู้ที่มีสมาธิจิตดีมาตรวจดูว่าเป็นเพราะเหตุใด ก็พบว่าบริเวณที่สร้างวัดนั้นมีความสัมพันธ์กับพระนเรศวรมากและมีดวงวิญญาณ ของผู้ที่ตายจากสงครามอยู่มากเป็นเหตุให้กานทำงานมีอุปสรรค ความทราบถึงองค์สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชท่านก็เลยได้เดินทางาทำ พิธีแผ่เมตตาให้แก่ดวงวิญญาณเหล่านั้นด้วยพระองค์เองแต่ปรากฏว่า ยิ่งแผ่เมตตาก็ยิ่งมีดวงวิญญาณพากันมามากขึ้นจนท่านต้องมีบัญชาให้ไปตามตัว ซินแสสง่า(ผู้ก่อตั้งวิหารเซียน)มาช่วยตรวจดูให้ ซึ่งเมื่อท่านมาตรวจดูแล้วก็รู้ว่าจุดที่สร้างวัดเคยเป็นที่เดินทัพและเกิด สงครามมาก่อน ท่านจึงได้เผาฮู้ตรงใจกลางของที่นั้นซึ่งก็ได้มีคนที่ตาดีได้เห็นองค์ท่าน ลื่อตงปินสด็จมาบนหลังมังกร ซึ่งเมื่อท่านมาถึงพวกวิญญาณทั้งหลายก็กระเจิงหมด ซึ่งสถานที่ท่านได้เผาฮุ้นั้นได้กลายเป็นใจกลางพระอุโบสถในปัจจุบันนี้ครับ

    สำหรับพระพุทธรูปที่อยู่ในโบสถ์เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์มากชื่อ"พระ พุทธหทัยนเรศวร์"สร้างขึ้นจากฝาบาตรพระที่ลงอักขระถึง84000ฝาด้วยกัน อีกทั้งยังได้อัญเชิญเทพระดับพรหมมารักษาพระพุทธรูป และภายในองค์ท่านยังได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุถึง84000องค์ ซึ่งเท่าที่ผมทราบมาน่าจะเป็นพระพุทธรูปที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุมากที่สุด เพราะพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุเกือบเต็มบาตรพระเลยครับ ใครผ่านไปก็ลองแวะไปขอพรท่านดูนะครับและอย่าลืมแวะชมวิหารเซียนกับพระพุทธ รูปเขาชีจรรย์ที่แกะสักด้วยเลเซอร์ด้วยครับ


    ช่วงที่สร้างวัดญาณสังวรใหม่ๆ นอกจากจะประสบปัญหาจากดวงวิญญาณเก่าแก่แล้ว ยังมีปัญหาเรื่องเวลาฝนตกแล้วน้ำจะท่วมถนนทางเข้าขาดทำให้การก่อสร้างต้อง หยุดชะงักและไม่คืบหน้า ทางอ.สง่าได้พิจารณาดูแล้วพบว่าเขาที่อยู่เบื้องหลังของวิหารเซียนในตอนนี้ (ตอนนั้นวิหารเซียนยังไม่ได้ก่อตั้ง)เป็นที่อยู่ของมังกรเขียวที่ดุร้ายตัว หนึ่งเวลาฝนตกจะชอบออกมาเล่นน้ำฝนเป็นประจำ จึงทำให้เกิดน้ำท่วมทางขาดเป็นประจำ มังกรเขียวตัวนี้มีหน้าที่เฝ้าบ่อเงินกับบ่อทอง(ตอนนี้ได้กลายเป็นที่ตั้ง ของวิหารเซียนไปแล้ว)ท่านจึงมีความคิดที่จะปิดปากถ้ำพญามังกรตัวนี้ไว้ ซึ่งท่านลื่อตงปินก็ได้มาแนะนำว่าให้เอาดินทับฟ้าไว้จึงจะปิดปากถ้ำไม่ให้ พญามังกรตัวนี้ออกมาอาละวาดได้ ดังนั้นถ้าใครพอมีความรู้เรื่องฮวงจุ้ยจะต้องเคยเห็นรูปปลาดำปลาขาว (สัญลักษณ์หยิน-หยางที่หน้าอกนักพรตไท้ก๊ก)ซึ่งแทนความหมายฟ้า-ดิน โดยสีขาวหมายถึงฟ้า สีดำหมายถึงดิน ตามปกติเครื่องหมายนี้สีขาวจะต้องอยู่ข้างบนและสีดำจะต้องอยู่ข้างล่าง แต่ที่วิหารเซียนจะกลับกันจากที่อื่นคือสีดำจะอยู่บนสีขาวจะอยู่ข้างล่าง เคยมีนักดูฮวงจุ้ยชื่อดังที่รับดูฮวงจุ้ยเป็นอาชีพได้ไปที่วิหารเซียนและ คยปรามาสท่านอ.สง่าว่าไม่รู้จริงสร้างผิดหลัก ท่านก็ได้แต่หัวเราะไม่ว่าอะไร ท่านมาเฉลยให้ผมฟังว่าที่ท่านทำอย่างนี้พื่อจะได้เอาดินทับฟ้าสะกดปิดปากถ้ำ มังกรเขียวไว้นั่นเอง และตอนนี้มังกรเขียวตัวนั้นก็ได้กลายเป็นพาหนะของท่านลื่อตงปินไปแล้ว อ.สง่าท่านจึงเขียนฮู้มังกรเขียวแจกฟรี ใครสนใจไปขอได้ที่วิหารเซียนครับ และมีอย่างผ้ายันต์มังกรเขียวด้วย ท่านบอกว่าถ้ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรให้เผาฮู้กลางแจ้งจุดธู)บอกองค์เซียน ลื่อตงปินท่านแล้วอธิษฐานครับ


    ฮู้นี้มีผู้เคยประสบเหตุบ่อย ๆ คือมีอยู่ท่านหนึ่งได้รับฮู้แบบผ้ายันต์ไปซึ่งตามปกติท่านจะแจกแบบกระดาษซะ เป็นส่วนใหญ่ ก็พับเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ ระหว่างทางขับรถกลับบ้านก็ประสบอุบัติเหตรถพังยับแต่ตนเองไม่เป็นอะไร ก็ไม่ได้เอะใจอะไรแต่เมื่อกลับไปถึงบ้านเอาอู้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อปรากฏว่า ฮู้ขาดเป็นสองท่อน ก็เลยรีบมาเล่าให้ท่านอ.สง่าฟัง ท่านก็บอกว่ามังกรเขียวเขาออกไปรับแทนไม่งั้นจะเจ็บหนักแน่ ที่น่าแปลกคืออู้นั้นเป็นผ้ายันต์แต่ขาดเหมือนโดนฉีกออกจากกันอย่างแรง ผมเองเคยได้มาเป็นปึกๆสมัยท่านยังอยู่แต่ก็แจกไปซะเกือบหมดแล้ว อย่างกระดาษคิดว่าที่วิหารเซียนยังคงมีอยู่แต่แบบผ้ายันต์ไม่แน่ใจครับ

    วิหารเซียนอยู่เลยพัทยาไปหน่อยครับ(ถ้าไปจากกทม.)ไปทางบางเสร่ ทางเข้าทางเดียวกับทางไปวัดญาณสังวรวรารามและพระพุทธรูปเขาชีจรรย์ ทั้ง3แห่งอยู่ละแวกเดียวกันหมดครับ แต่จะถึงวิหารเซียนก่อนถึงวัดครับ ถามคนที่นั่นรู้จักหมดครับเพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวจะมีทัวร์ต่างชาติโดย เฉพาะพวกไต้หวัน จีนมาลงแทบทุกวันครับ ถ้าไปแล้วก็แวะกราบให้หมดทั้ง3แห่งนะครับ โดยเฉพาะที่วัดญาณสังวรนอกจากมีพระพุทธญาณนเรศวร์ที่ศักดิ์สิทธิ์เพราะสร้าง จากฝาบาตรที่ลงอักขระ84000ฝาแล้ว ยังบรรจุพระบรมสารีริกธาตุอีกถึง84000องค์ เสร็จแล้วก็ไปกราบชมพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมธาตุและพระธาตุอรหันตสาวกในสมัย พุทธกาล(เขาโชว์พระธาตุให้เห็นในตู้กระจกด้วยครับ เรียกว่าได้มองเห็นกันแบบใกล้ๆเลย) แล้วก็ขึ้นเขาไปกราบพระมณฑปรอยพระพุทธบาทบนเขาด้วยครับ เรียกว่าไปครั้งเดียวคุ้มครับ อีกอย่างไปจากกทม.ก็นั่งรถประมาณชั่วโมงครึ่งเองครับ

    เทพเจ้าลือท่งปิง
    อาจารย์เซียนสง่า กุลกอบเกียรติ วิหารเซียน จ.ชลบุรี
    ประวัติ เซียน ลื้อตงปิงวิหารเซียน จ.ชลบุรี
    ท่าน อ.สง่า กุลกอบเกียรติ ผู้ก่อตั้ง วิหารเซียนที่ชลบุรี ท่านบอกว่า องค์ลื่อตงปิง สามารถสื่อ กับท่านได้โดย ทางจิต แต่ ท่าน ไม่เคยเห็น ตัว องค์ท่าน ทางนิมิต เลย ท่านบอกว่า ตำแหน่ง ของ ท่านลื่อตงปิน มีหน้าที่เหมือน รัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย มี หน้าที่คอยดูแล ความสงบเรียบร้อย และ ปรามปรามผู้ร้าย
    มูลเหตุ ที่ท่านได้รู้จัก กับองค์ท่าน ลื้อตงปิน นั้นเนื่องมา จากคุณแม่
    ของ อ.เซียน สง่า ท่านป่วย เป็นโรคทานอะไรไม่ได้ ทำให้ไม่มีกำลังแม้แต่จะ ลุกยืน ตอนนั้นพวกญาติท่านก็พาไปหา ซินแส หรือ หมอแผน ปัจจุบันมา หลายท่าน ก็ไม่ดีขึ้น ประจวบกับ ท่านอ.เซียน สง่าในสมัยนั้น ไม่ค่อยเชื่อในเรื่องการเผาฮู้ ต้มกินแล้วจะ หาย ยิ่งพวกเข้า ทรงเจ้า ต่างๆท่านไม่เชื่อ เลย แต่เมื่อเป็น ความต้องการ ของ ญาติๆก็เลยได้แต่ ลองทำดูเพราะ ไม่มีวิธีอื่นแล้ว
    จนวันหนึ่งได้เชิญ คนทรงมา ซึ่งคนทรง นี้ตามปกติจะไม่ใช่ ร่างทรงของ ท่านองค์ เซียนลื่อตงปิน แต่เป็นร่างทรงเทพ องค์อื่น แต่วันนั้นพอ ทำพิธีอัญเชิญปั๊บ ท่านลื่อตงปิน ก็มาประทับทรง ทันที และ ก็บอกว่าจะ ช่วยให้คุณแม่ ของ อ.เซียน สง่า ลุกเดิน ได้หายภายใน 3 เดือน แต่มีข้อ แม้ว่า อ.เซียน สง่า จะต้องทำงาน รับใช้ท่าน ซึ่งท่าน อ.เซียน สง่า ก็ได้ถามว่าจะให้ทำอะไรถ้า ให้เป็นร่างทรง แบบนี้ ท่านไม่เอา และ ท่านก็ไม่เคย ศึกษาศาสตร์ แนวนี้ มาก่อน ท่านลื่อตงปิน ก็บอกว่าไม่เป็นไร ท่านจะ คอยช่วยบอก ให้เองว่าจะ ต้องทำอะไร แล้วท่าน ก็เขียนฮู้ ให้ อ.เซียน สง่า เก็บไว้เผา ให้ คุณแม่ ของ ท่าน ละลายน้ำดื่ม ซึ่งก็ปรากฏว่าพอ ครบ 3 เดือน คุณแม่ท่านก็แข็งแรง เป็นปรกติเดิน ได้ดังเดิม ท่านลื่อตงปิน ก็มา
    ทวงสัญญา อ.เซียน สง่า จึงต้อง ยอมทำงานรับใช้ ท่านสงเคราะห์มนุษย์ โดยที่ท่าน กับ อ.เซียน สง่า จะสื่อ สัมผัสทางใจ กัน เหมือนเป็น อาจาร.กับลูกศิษย์ อภินิหาร ขององค์ เซียนลื่อตงปิน ที่วิหารเซียนมี เยอะ เอาไว้มีเวลา จะมาเล่า เป็นเรื่องๆไป
    เช่นเรื่อง ตอน ช่วยสร้างวัดญาณสังวร ชลบุรี ตอนปราบมังกรเขียว ตอน ไฟไหม้โรงแรม ที่พัทยา ตอนที่ช่วยกิจการ ของเจ้าของ ผลิตภัณฑ์ ไก่
    รายใหญ่ CP ตอนช่วย เจ้าของ ตึกใบหยกทาวเวอร์ ตอนช่วย แบงค์กสิกร ที่จะ ล่มช่วง IMF
    อีก อย่างหนึ่งคือ มีคนหนึ่งเขาบูชา พระผงท่าน ลื่อตงปิน จากที่ วิหารเซียน เมื่อ ครั้ง อ.สง่า ยังมีชีวิต ไป
    วันหนึ่ง ก็ไป เจอ นักจับ พลังพระ ขณะที่นักจับ พลังพระกำลัง ตรวจพระ ของคนอื่น อยู่ว่า ดียังไง จู่ๆเขาก็หันมา ที่ ชายคนนี้ แล้วถาม ว่า เขา ห้อยพระอะไรอยู่
    (พระ อยู่ใน เสื้อ ไม่ได้ห้อย ออกมาข้างนอก)
    เพราะเขาเห็น แสง รัศมี สีชมพู พุ่งออกมาดีทางเมตตา ร่มเย็น และพลังนี้ หมุนวน กลับไปกลับมา เหมือน หยิน และ หยาง ซึ่งตั้งแต่เขาตรวจพระมาไม่เคยเจอ แบบนี้ เขาก็เลยขอดู พระ พอเขาเห็นพระ แกเลย หายสงสัย ว่าทำไมจึงเกิด มีพลังแบบนี้ได้ เจอ พลังสายญาณเทพเจ้าจีน ครั้งแรก ต้องทึ้ง เพราะ แรง จริง
    และ มีพระเกจิชื่อ ดังทาง ภาคตะวันออก ไม่ขอ เอ่ยนาม มีโยมไปขอ ของดี ท่านบอกกลับไปที่ บ้านโยม นะ มีของดีอยู่ ไปค้นดูดีดี ละ
    คนจีน มีหนวด ยาว ถือแส้ คุ้มครองบ้านโยม พอ
    กลับบ้านไป ค้นดู เจอพระผง ตามรูป ถึงรู้ ตรงตาม ที่พระ ท่านบอกไว้ จริง อัศจรรย์
    วันที่ไคกวง พระผง ชุดนี้ ท่าน อ.สง่า ได้ อัญเชิญ ญาณ ท่าน องค์ลื่อตงปิน มา ประทับทรง ปลุกเสก ที่ วิหารเซียน ครั้งนั้น พิธี ยิ่งใหญ่ ที่สุด คนที่ได้รับไปนั้น เกิดประสบการณ์ ปาฏิหาริย์ เพียบ โดนผีเข้า เจ้าที่แรง ห้อย พระผงไป ร้อง หนี บอกว่า กลัวแล้ว อย่าเข้ามา ร้อน ร้อน แคล้วคลาด จากเที่ยวบิน มรณะ องค์ลื้อตงปิ่น ดลจิตดลใจ ให้ยกเลิก ในการเดินทาง อธิษฐานขอเงินได้เท่าไร ได้เท่าใด ไม่ขาดไม่เกิน เศษเกินไม่มี เหลือเชื่อ มากมาย

    พระผงพระวิสุทธิเทพ “ ลื่อตงปิน ”
    โจวซือ รุ่นแรก ปี 2536
    อเนกกุศลศาลา (วิหารเซียน) ชลบุรี #พิมพ์เล็ก
    เพื่อเป็นที่ระลึกในการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินทางเปิด “ ต้าผู่อี่ ” หรือ “ วิหารเซียน ” อย่างเป็นทางการเมื่อวันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2536
    ถือได้ว่าเป็นวัตถุมงคลรุ่นแรกที่ทางวิหารเซียนได้ดำเนินการจัดสร้างออกมาอย่างเป็นทางการ
    สร้างจากผงเกสรดอกไม้นานาชนิด และผงธูปที่บูชาองค์โจวซือ เพื่อเป็นที่ระลึกในการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินทางเปิด “ ต้าผู่อี่ ” หรือ “ วิหารเซียน ” อย่างเป็นทางการเมื่อวันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2536 จึงมีคนได้รับไปมากทำให้เกิดประสบการณ์มากเป็นเงาตามตัว โดยเฉพาะเรื่องลาภผลเงินทองและแคล้วคลาดกันผีนี่เป็นที่หนึ่ง
    ท่านบอกว่าตำแหน่งของท่านลื่อตงปินมีหน้าที่เสมือนรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่คอยดูแลความสงบเรียบร้อยและปรามปรามผู้ร้าย ดังนั้นในพิธีล้างป่าช้า จึงต้องอัญเชิญองค์ท่านมาเป็นประธานในพิธี
    เคยถามท่านว่าเซียนของจีนนี่เทียบเท่ากับเทพอะไรของทางไทย ท่านว่าเซียนของจีนก็คือพระโพธิสัตว์ของไทยเรา
    มีเรื่องเล่า....คราวหนึ่งมีเพื่อนคนหนึ่งเขาห้อยพระผงท่านลื่อตงปินโจวซือ รุ่นแรก ที่เขาได้บูชาจากวิหารเซียน ชลบุรีไป วันหนึ่งได้ไปเจอเพื่อนอีกคนที่มีความสามารถจับพลังพระได้ ขณะที่เพื่อนคนนี้กำลังตรวจพลังพระของคนอื่นอยู่ จู่ๆ เขาก็หันมาที่เพื่อนคนนี้แล้วถามว่าห้อยพระอะไรอยู่ เพราะเขาเห็นรัศมีสีชมพูพุ่งออกมาแนวเมตตาร่มเย็น และที่แปลกมากๆ ก็คือ พลังนี้หมุนวนกลับไปกลับมาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ซึ่งตั้งแต่เขาตรวจพระมาไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน พอเขาเห็นพระที่เพื่อนคนนี้ห้อยอยู่แล้วเขาก็หายสงสัยเลยว่าทำไมจึงมีพลังแบบนี้ เพราะที่ด้านหลังของพระผงรูปเหมือนท่านมีสัญลักษณ์ “ หยิน-หยาง ” อยู่นั่นเอง
    อาจารย์เซียนสง่า กุลกอบเกียรติ ท่านผู้สร้างวิหารเซียน จ.ชลบุรี สามารถสื่อกับท่าน องค์วิสุทธิเทพลือท่งปิง ได้โดยทางจิตแต่ไม่เคยเห็นตัวองค์ท่านทางนิมิตเลย ท่านบอกว่าตำแหน่งของ ท่านลื่อตงปินมีหน้าที่เหมือนรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่คอยดูแลความสงบเรียบร้อยและปรามปรามผู้ร้าย
    ท่านอาจารย์เซียนสง่ากุลกอบเกียรติ ได้บอกหลายครั้งว่า “แชเล้งฮู้ก็ดีรูปหล่อบูชาองค์โจวซือก็ดี รูปถ่ายองค์โจวซือก็ดี รูปเหมือนผงเหรียญท่าน ฯลฯ” ของเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติของท่านและเป็นของสำเร็จแล้วทั้งสิ้นเมื่อทำขึ้นมาแล้วสามารถนำไปใช้ได้เลยไม่จำเป็นต้องนำมาให้ท่านปลุกเสกหรือประกอบพิธีใดๆ อีกทั้งสิ้น.. เพียงแค่เมื่อจะใช้ก็ให้รำลึกถึง “โป๊ยเซียนโจวซือ”แล้วค่อยตีวงให้แคบลงมาเป็นอธิษฐานเจาะจงถึง "ลือท่งปิงโจวซือ” แค่นี้ก็ใช้ได้แล้วทุกประการ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงโจวซือลื้อตงปิงพิมพ์ใหญ่ รุ่นแรกให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250717_192425.jpg IMG_20250717_192500.jpg IMG_20250717_192349.jpg
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,400
    ค่าพลัง:
    +21,404
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    ประวัติเซียน ลื้อท๊งปิง วิหารเซียน จ.ชลบุรี



    อันนี้ออกตัวก่อนว่าเอามาจากพี่ช้าง ในเว็บๆนึงนะครับ ไม่ใช่ความรู้ของผมแต่อย่างใด ลองอ่านดูครับ (คำว่า "ผม" ในที่นี้คือ คุณช้าง คนที่ข้อมูลมานะครับ ไม่ใช่ตัวข้าน้อย)

    กระผมเคยคุยกับท่านอ.สง่า ที่เป็นผู้ก่อตั้งวิหารเซียนที่ชลบุรี ท่านบอกว่า องค์ลื่อตงปินสามารถสื่อกับท่านได้โดยทางจิตแต่ท่านไม่เคยเห็นตัวองค์ท่าน ทางนิมิตเลย ท่านบอกว่าตำแหน่งของท่านลื่อตงปินมีหน้าที่เหมือนรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยมี หน้าที่คอยดูแลความสงบเรียบร้อยและปรามปรามผู้ร้าย

    มูลเหตุที่ท่านได้รู้จักกับองค์ท่านนั้นเนื่องมาจากคุณแม่ของอ.สง่าท่านป่วย เป็นโรคทานอะไรไม่ได้ ทำให้ไม่มีกำลังแม้แต่จะลุกยืน ตอนนั้นพวกญาติท่านก็พาไปหาซินแสหรือหมอแผนปัจจุบันมาหลายท่านก็ไม่ดีขึ้น ประจวบกับท่านอ.สง่าในสมัยนั้นไม่ค่อยเชื่อในเรื่องการเผาฮู้ต้มกินแล้วจะ หาย ยิ่งพวกเข้าทรงเจ้าต่างๆท่านไม่เชื่อเลย แต่เมื่อเป็นความต้องกรของญาติๆก็เลยได้แตลองทำดูเพราะไม่มีวิธีอื่นแล้ว จนวันหนึ่งได้เชิญคนทรงมาซึ่งคนทรงนี้ตามปกติจะไม่ใช่ร่างทรงของท่านองค์ เซียนลื่อตงปิน แต่เป็นร่างทรงเทพองค์อื่น แต่วันนั้นพอทำพิธีอัญเชิญปั๊บ ท่านลื่อตงปินก็มาประทับทรงทันทีและก็อกว่าจะช่วยให้คุณแม่ของอ.สง่าลุกเดิน ได้หายภายใน3เดือน แต่มีข้อแม้ว่าอ.สง่าจะต้องทำงานรับใช้ท่าน ซึ่งท่านอ.สง่าก็ได้ถามว่าจะให้ทำอะไรถ้าให้เป็นร่างทรงแบบนี้ท่านไม่เอาและ ท่านก็ไม่เคยศึกษาศาสตร์แนวนี้มาก่อน ม่านลื่อตงปินก็บอกว่าไม่เป็นไรท่านจะคอยช่วยบอกให้เองว่าจะต้องทำอะไร แล้วท่านก็ขียนฮู้ให้ อ.สง่าเก็บไว้เผาให้คุณแม่ของท่านละลายน้ำดื่ม ซึ่งก็ปรากฏว่าพอครบ3เดือนคุณแม่ท่านก็แข็งแรงเป็นปรกติเดินได้ดังเดิม ท่านลื่อตงปินก็มาทวงสัญญาอ.สง่าจึงต้องยอมทำงานรับใช้ท่านสงเคราะห์มนุษย์ โดยที่ท่านกับอ.จะสื่อสัมผัสทางใจกัน เหมือนเป็นอ.กับลูกศิษย์ อภินิหารขององค์เซียนลื่อตงปินที่วิหารเซียนมีเยอะครับ เอาไว้มีเวลาจะมาเล่าเป็นเรื่องๆไปครับ เช่นเรื่องตอนช่วยสร้างวัดญาณสังวร ชลบุรี ตอนปราบมังกรเขียว ตอนไฟไหม้โรงแรมที่พัทยา ตอนที่ช่วยกิจการของเจ้าของผลิตภัณฑ์จากไก่รายใหญ่ ตอนช่วยเจ้าของตึกใบหยกทาวเวอร์ ตอนช่วยแบงค์กสิกรที่จะล่มช่วงIMF

    อีก อย่างหนึ่งคือเพื่อนผมคนหนึ่งเขาบูชาพระผงท่านลื่อตงปินจากที่วิหารเซียนที่ ชลบุรีไป วันหนึ่งก็เจอนักจับพลังพระ ขณะที่นักจับพลังพระกำลังตรวจพระของคนอื่นอยู่ว่าดียังไง จู่ๆเขาก็หันมาที่เพื่อนของกระผมแล้วถามว่เขาห้อยพระอะไรอยู่(พระอยู่ใน เสื้อ ไม่ได้ห้อยออกมาข้างนอก)เพราะเขาเห็นรัศมีสีชมพูพุ่งออกมาดีทางเมตตาร่มเย็น และพลังนี้หมุนวนกลับไปกลับมาเหมือนหยินและหยาง ซึ่งตั้งแต่เขาตรวจพระมาไม่เคยเจอบบนี้เขาก็เลยขอดูพระของเพื่อนผม พอเขาเห็นพระเเล้วเขาก็เลยหายสงสัยว่าทำไมจึงมีพลังแบบนี้ พระนี้คิดว่าที่ทางวิหารเซียนยังมีอยู่นะครับ ผมเองยังเคยไปงานวันที่เขาอัญเชิญท่านองค์ลื่อตงปินมาประทับทรงที่วิหาร เซียนเลย


    สมัยที่สร้างวัดญาณสังวรวราราม ชลบุรีใหม่ๆนั้น ได้ประสบปัญหาและอุปสรรคนานาชนืดทั้งที่เกิดจากคนงานก่อสร้าง และจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน จึงได้เชิญผู้ที่มีสมาธิจิตดีมาตรวจดูว่าเป็นเพราะเหตุใด ก็พบว่าบริเวณที่สร้างวัดนั้นมีความสัมพันธ์กับพระนเรศวรมากและมีดวงวิญญาณ ของผู้ที่ตายจากสงครามอยู่มากเป็นเหตุให้กานทำงานมีอุปสรรค ความทราบถึงองค์สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชท่านก็เลยได้เดินทางาทำ พิธีแผ่เมตตาให้แก่ดวงวิญญาณเหล่านั้นด้วยพระองค์เองแต่ปรากฏว่า ยิ่งแผ่เมตตาก็ยิ่งมีดวงวิญญาณพากันมามากขึ้นจนท่านต้องมีบัญชาให้ไปตามตัว ซินแสสง่า(ผู้ก่อตั้งวิหารเซียน)มาช่วยตรวจดูให้ ซึ่งเมื่อท่านมาตรวจดูแล้วก็รู้ว่าจุดที่สร้างวัดเคยเป็นที่เดินทัพและเกิด สงครามมาก่อน ท่านจึงได้เผาฮู้ตรงใจกลางของที่นั้นซึ่งก็ได้มีคนที่ตาดีได้เห็นองค์ท่าน ลื่อตงปินสด็จมาบนหลังมังกร ซึ่งเมื่อท่านมาถึงพวกวิญญาณทั้งหลายก็กระเจิงหมด ซึ่งสถานที่ท่านได้เผาฮุ้นั้นได้กลายเป็นใจกลางพระอุโบสถในปัจจุบันนี้ครับ

    สำหรับพระพุทธรูปที่อยู่ในโบสถ์เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์มากชื่อ"พระ พุทธหทัยนเรศวร์"สร้างขึ้นจากฝาบาตรพระที่ลงอักขระถึง84000ฝาด้วยกัน อีกทั้งยังได้อัญเชิญเทพระดับพรหมมารักษาพระพุทธรูป และภายในองค์ท่านยังได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุถึง84000องค์ ซึ่งเท่าที่ผมทราบมาน่าจะเป็นพระพุทธรูปที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุมากที่สุด เพราะพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุเกือบเต็มบาตรพระเลยครับ ใครผ่านไปก็ลองแวะไปขอพรท่านดูนะครับและอย่าลืมแวะชมวิหารเซียนกับพระพุทธ รูปเขาชีจรรย์ที่แกะสักด้วยเลเซอร์ด้วยครับ


    ช่วงที่สร้างวัดญาณสังวรใหม่ๆ นอกจากจะประสบปัญหาจากดวงวิญญาณเก่าแก่แล้ว ยังมีปัญหาเรื่องเวลาฝนตกแล้วน้ำจะท่วมถนนทางเข้าขาดทำให้การก่อสร้างต้อง หยุดชะงักและไม่คืบหน้า ทางอ.สง่าได้พิจารณาดูแล้วพบว่าเขาที่อยู่เบื้องหลังของวิหารเซียนในตอนนี้ (ตอนนั้นวิหารเซียนยังไม่ได้ก่อตั้ง)เป็นที่อยู่ของมังกรเขียวที่ดุร้ายตัว หนึ่งเวลาฝนตกจะชอบออกมาเล่นน้ำฝนเป็นประจำ จึงทำให้เกิดน้ำท่วมทางขาดเป็นประจำ มังกรเขียวตัวนี้มีหน้าที่เฝ้าบ่อเงินกับบ่อทอง(ตอนนี้ได้กลายเป็นที่ตั้ง ของวิหารเซียนไปแล้ว)ท่านจึงมีความคิดที่จะปิดปากถ้ำพญามังกรตัวนี้ไว้ ซึ่งท่านลื่อตงปินก็ได้มาแนะนำว่าให้เอาดินทับฟ้าไว้จึงจะปิดปากถ้ำไม่ให้ พญามังกรตัวนี้ออกมาอาละวาดได้ ดังนั้นถ้าใครพอมีความรู้เรื่องฮวงจุ้ยจะต้องเคยเห็นรูปปลาดำปลาขาว (สัญลักษณ์หยิน-หยางที่หน้าอกนักพรตไท้ก๊ก)ซึ่งแทนความหมายฟ้า-ดิน โดยสีขาวหมายถึงฟ้า สีดำหมายถึงดิน ตามปกติเครื่องหมายนี้สีขาวจะต้องอยู่ข้างบนและสีดำจะต้องอยู่ข้างล่าง แต่ที่วิหารเซียนจะกลับกันจากที่อื่นคือสีดำจะอยู่บนสีขาวจะอยู่ข้างล่าง เคยมีนักดูฮวงจุ้ยชื่อดังที่รับดูฮวงจุ้ยเป็นอาชีพได้ไปที่วิหารเซียนและ คยปรามาสท่านอ.สง่าว่าไม่รู้จริงสร้างผิดหลัก ท่านก็ได้แต่หัวเราะไม่ว่าอะไร ท่านมาเฉลยให้ผมฟังว่าที่ท่านทำอย่างนี้พื่อจะได้เอาดินทับฟ้าสะกดปิดปากถ้ำ มังกรเขียวไว้นั่นเอง และตอนนี้มังกรเขียวตัวนั้นก็ได้กลายเป็นพาหนะของท่านลื่อตงปินไปแล้ว อ.สง่าท่านจึงเขียนฮู้มังกรเขียวแจกฟรี ใครสนใจไปขอได้ที่วิหารเซียนครับ และมีอย่างผ้ายันต์มังกรเขียวด้วย ท่านบอกว่าถ้ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรให้เผาฮู้กลางแจ้งจุดธู)บอกองค์เซียน ลื่อตงปินท่านแล้วอธิษฐานครับ


    ฮู้นี้มีผู้เคยประสบเหตุบ่อย ๆ คือมีอยู่ท่านหนึ่งได้รับฮู้แบบผ้ายันต์ไปซึ่งตามปกติท่านจะแจกแบบกระดาษซะ เป็นส่วนใหญ่ ก็พับเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ ระหว่างทางขับรถกลับบ้านก็ประสบอุบัติเหตรถพังยับแต่ตนเองไม่เป็นอะไร ก็ไม่ได้เอะใจอะไรแต่เมื่อกลับไปถึงบ้านเอาอู้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อปรากฏว่า ฮู้ขาดเป็นสองท่อน ก็เลยรีบมาเล่าให้ท่านอ.สง่าฟัง ท่านก็บอกว่ามังกรเขียวเขาออกไปรับแทนไม่งั้นจะเจ็บหนักแน่ ที่น่าแปลกคืออู้นั้นเป็นผ้ายันต์แต่ขาดเหมือนโดนฉีกออกจากกันอย่างแรง ผมเองเคยได้มาเป็นปึกๆสมัยท่านยังอยู่แต่ก็แจกไปซะเกือบหมดแล้ว อย่างกระดาษคิดว่าที่วิหารเซียนยังคงมีอยู่แต่แบบผ้ายันต์ไม่แน่ใจครับ

    วิหารเซียนอยู่เลยพัทยาไปหน่อยครับ(ถ้าไปจากกทม.)ไปทางบางเสร่ ทางเข้าทางเดียวกับทางไปวัดญาณสังวรวรารามและพระพุทธรูปเขาชีจรรย์ ทั้ง3แห่งอยู่ละแวกเดียวกันหมดครับ แต่จะถึงวิหารเซียนก่อนถึงวัดครับ ถามคนที่นั่นรู้จักหมดครับเพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวจะมีทัวร์ต่างชาติโดย เฉพาะพวกไต้หวัน จีนมาลงแทบทุกวันครับ ถ้าไปแล้วก็แวะกราบให้หมดทั้ง3แห่งนะครับ โดยเฉพาะที่วัดญาณสังวรนอกจากมีพระพุทธญาณนเรศวร์ที่ศักดิ์สิทธิ์เพราะสร้าง จากฝาบาตรที่ลงอักขระ84000ฝาแล้ว ยังบรรจุพระบรมสารีริกธาตุอีกถึง84000องค์ เสร็จแล้วก็ไปกราบชมพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมธาตุและพระธาตุอรหันตสาวกในสมัย พุทธกาล(เขาโชว์พระธาตุให้เห็นในตู้กระจกด้วยครับ เรียกว่าได้มองเห็นกันแบบใกล้ๆเลย) แล้วก็ขึ้นเขาไปกราบพระมณฑปรอยพระพุทธบาทบนเขาด้วยครับ เรียกว่าไปครั้งเดียวคุ้มครับ อีกอย่างไปจากกทม.ก็นั่งรถประมาณชั่วโมงครึ่งเองครับ

    เทพเจ้าลือท่งปิง
    อาจารย์เซียนสง่า กุลกอบเกียรติ วิหารเซียน จ.ชลบุรี
    ประวัติ เซียน ลื้อตงปิงวิหารเซียน จ.ชลบุรี
    ท่าน อ.สง่า กุลกอบเกียรติ ผู้ก่อตั้ง วิหารเซียนที่ชลบุรี ท่านบอกว่า องค์ลื่อตงปิง สามารถสื่อ กับท่านได้โดย ทางจิต แต่ ท่าน ไม่เคยเห็น ตัว องค์ท่าน ทางนิมิต เลย ท่านบอกว่า ตำแหน่ง ของ ท่านลื่อตงปิน มีหน้าที่เหมือน รัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย มี หน้าที่คอยดูแล ความสงบเรียบร้อย และ ปรามปรามผู้ร้าย
    มูลเหตุ ที่ท่านได้รู้จัก กับองค์ท่าน ลื้อตงปิน นั้นเนื่องมา จากคุณแม่
    ของ อ.เซียน สง่า ท่านป่วย เป็นโรคทานอะไรไม่ได้ ทำให้ไม่มีกำลังแม้แต่จะ ลุกยืน ตอนนั้นพวกญาติท่านก็พาไปหา ซินแส หรือ หมอแผน ปัจจุบันมา หลายท่าน ก็ไม่ดีขึ้น ประจวบกับ ท่านอ.เซียน สง่าในสมัยนั้น ไม่ค่อยเชื่อในเรื่องการเผาฮู้ ต้มกินแล้วจะ หาย ยิ่งพวกเข้า ทรงเจ้า ต่างๆท่านไม่เชื่อ เลย แต่เมื่อเป็น ความต้องการ ของ ญาติๆก็เลยได้แต่ ลองทำดูเพราะ ไม่มีวิธีอื่นแล้ว
    จนวันหนึ่งได้เชิญ คนทรงมา ซึ่งคนทรง นี้ตามปกติจะไม่ใช่ ร่างทรงของ ท่านองค์ เซียนลื่อตงปิน แต่เป็นร่างทรงเทพ องค์อื่น แต่วันนั้นพอ ทำพิธีอัญเชิญปั๊บ ท่านลื่อตงปิน ก็มาประทับทรง ทันที และ ก็บอกว่าจะ ช่วยให้คุณแม่ ของ อ.เซียน สง่า ลุกเดิน ได้หายภายใน 3 เดือน แต่มีข้อ แม้ว่า อ.เซียน สง่า จะต้องทำงาน รับใช้ท่าน ซึ่งท่าน อ.เซียน สง่า ก็ได้ถามว่าจะให้ทำอะไรถ้า ให้เป็นร่างทรง แบบนี้ ท่านไม่เอา และ ท่านก็ไม่เคย ศึกษาศาสตร์ แนวนี้ มาก่อน ท่านลื่อตงปิน ก็บอกว่าไม่เป็นไร ท่านจะ คอยช่วยบอก ให้เองว่าจะ ต้องทำอะไร แล้วท่าน ก็เขียนฮู้ ให้ อ.เซียน สง่า เก็บไว้เผา ให้ คุณแม่ ของ ท่าน ละลายน้ำดื่ม ซึ่งก็ปรากฏว่าพอ ครบ 3 เดือน คุณแม่ท่านก็แข็งแรง เป็นปรกติเดิน ได้ดังเดิม ท่านลื่อตงปิน ก็มา
    ทวงสัญญา อ.เซียน สง่า จึงต้อง ยอมทำงานรับใช้ ท่านสงเคราะห์มนุษย์ โดยที่ท่าน กับ อ.เซียน สง่า จะสื่อ สัมผัสทางใจ กัน เหมือนเป็น อาจาร.กับลูกศิษย์ อภินิหาร ขององค์ เซียนลื่อตงปิน ที่วิหารเซียนมี เยอะ เอาไว้มีเวลา จะมาเล่า เป็นเรื่องๆไป
    เช่นเรื่อง ตอน ช่วยสร้างวัดญาณสังวร ชลบุรี ตอนปราบมังกรเขียว ตอน ไฟไหม้โรงแรม ที่พัทยา ตอนที่ช่วยกิจการ ของเจ้าของ ผลิตภัณฑ์ ไก่
    รายใหญ่ CP ตอนช่วย เจ้าของ ตึกใบหยกทาวเวอร์ ตอนช่วย แบงค์กสิกร ที่จะ ล่มช่วง IMF
    อีก อย่างหนึ่งคือ มีคนหนึ่งเขาบูชา พระผงท่าน ลื่อตงปิน จากที่ วิหารเซียน เมื่อ ครั้ง อ.สง่า ยังมีชีวิต ไป
    วันหนึ่ง ก็ไป เจอ นักจับ พลังพระ ขณะที่นักจับ พลังพระกำลัง ตรวจพระ ของคนอื่น อยู่ว่า ดียังไง จู่ๆเขาก็หันมา ที่ ชายคนนี้ แล้วถาม ว่า เขา ห้อยพระอะไรอยู่
    (พระ อยู่ใน เสื้อ ไม่ได้ห้อย ออกมาข้างนอก)
    เพราะเขาเห็น แสง รัศมี สีชมพู พุ่งออกมาดีทางเมตตา ร่มเย็น และพลังนี้ หมุนวน กลับไปกลับมา เหมือน หยิน และ หยาง ซึ่งตั้งแต่เขาตรวจพระมาไม่เคยเจอ แบบนี้ เขาก็เลยขอดู พระ พอเขาเห็นพระ แกเลย หายสงสัย ว่าทำไมจึงเกิด มีพลังแบบนี้ได้ เจอ พลังสายญาณเทพเจ้าจีน ครั้งแรก ต้องทึ้ง เพราะ แรง จริง
    และ มีพระเกจิชื่อ ดังทาง ภาคตะวันออก ไม่ขอ เอ่ยนาม มีโยมไปขอ ของดี ท่านบอกกลับไปที่ บ้านโยม นะ มีของดีอยู่ ไปค้นดูดีดี ละ
    คนจีน มีหนวด ยาว ถือแส้ คุ้มครองบ้านโยม พอ
    กลับบ้านไป ค้นดู เจอพระผง ตามรูป ถึงรู้ ตรงตาม ที่พระ ท่านบอกไว้ จริง อัศจรรย์
    วันที่ไคกวง พระผง ชุดนี้ ท่าน อ.สง่า ได้ อัญเชิญ ญาณ ท่าน องค์ลื่อตงปิน มา ประทับทรง ปลุกเสก ที่ วิหารเซียน ครั้งนั้น พิธี ยิ่งใหญ่ ที่สุด คนที่ได้รับไปนั้น เกิดประสบการณ์ ปาฏิหาริย์ เพียบ โดนผีเข้า เจ้าที่แรง ห้อย พระผงไป ร้อง หนี บอกว่า กลัวแล้ว อย่าเข้ามา ร้อน ร้อน แคล้วคลาด จากเที่ยวบิน มรณะ องค์ลื้อตงปิ่น ดลจิตดลใจ ให้ยกเลิก ในการเดินทาง อธิษฐานขอเงินได้เท่าไร ได้เท่าใด ไม่ขาดไม่เกิน เศษเกินไม่มี เหลือเชื่อ มากมาย

    พระผงพระวิสุทธิเทพ “ ลื่อตงปิน ”
    โจวซือ รุ่นแรก ปี 2536
    อเนกกุศลศาลา (วิหารเซียน) ชลบุรี #พิมพ์เล็ก
    เพื่อเป็นที่ระลึกในการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินทางเปิด “ ต้าผู่อี่ ” หรือ “ วิหารเซียน ” อย่างเป็นทางการเมื่อวันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2536
    ถือได้ว่าเป็นวัตถุมงคลรุ่นแรกที่ทางวิหารเซียนได้ดำเนินการจัดสร้างออกมาอย่างเป็นทางการ
    สร้างจากผงเกสรดอกไม้นานาชนิด และผงธูปที่บูชาองค์โจวซือ เพื่อเป็นที่ระลึกในการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินทางเปิด “ ต้าผู่อี่ ” หรือ “ วิหารเซียน ” อย่างเป็นทางการเมื่อวันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2536 จึงมีคนได้รับไปมากทำให้เกิดประสบการณ์มากเป็นเงาตามตัว โดยเฉพาะเรื่องลาภผลเงินทองและแคล้วคลาดกันผีนี่เป็นที่หนึ่ง
    ท่านบอกว่าตำแหน่งของท่านลื่อตงปินมีหน้าที่เสมือนรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่คอยดูแลความสงบเรียบร้อยและปรามปรามผู้ร้าย ดังนั้นในพิธีล้างป่าช้า จึงต้องอัญเชิญองค์ท่านมาเป็นประธานในพิธี
    เคยถามท่านว่าเซียนของจีนนี่เทียบเท่ากับเทพอะไรของทางไทย ท่านว่าเซียนของจีนก็คือพระโพธิสัตว์ของไทยเรา
    มีเรื่องเล่า....คราวหนึ่งมีเพื่อนคนหนึ่งเขาห้อยพระผงท่านลื่อตงปินโจวซือ รุ่นแรก ที่เขาได้บูชาจากวิหารเซียน ชลบุรีไป วันหนึ่งได้ไปเจอเพื่อนอีกคนที่มีความสามารถจับพลังพระได้ ขณะที่เพื่อนคนนี้กำลังตรวจพลังพระของคนอื่นอยู่ จู่ๆ เขาก็หันมาที่เพื่อนคนนี้แล้วถามว่าห้อยพระอะไรอยู่ เพราะเขาเห็นรัศมีสีชมพูพุ่งออกมาแนวเมตตาร่มเย็น และที่แปลกมากๆ ก็คือ พลังนี้หมุนวนกลับไปกลับมาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ซึ่งตั้งแต่เขาตรวจพระมาไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน พอเขาเห็นพระที่เพื่อนคนนี้ห้อยอยู่แล้วเขาก็หายสงสัยเลยว่าทำไมจึงมีพลังแบบนี้ เพราะที่ด้านหลังของพระผงรูปเหมือนท่านมีสัญลักษณ์ “ หยิน-หยาง ” อยู่นั่นเอง
    อาจารย์เซียนสง่า กุลกอบเกียรติ ท่านผู้สร้างวิหารเซียน จ.ชลบุรี สามารถสื่อกับท่าน องค์วิสุทธิเทพลือท่งปิง ได้โดยทางจิตแต่ไม่เคยเห็นตัวองค์ท่านทางนิมิตเลย ท่านบอกว่าตำแหน่งของ ท่านลื่อตงปินมีหน้าที่เหมือนรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่คอยดูแลความสงบเรียบร้อยและปรามปรามผู้ร้าย
    ท่านอาจารย์เซียนสง่ากุลกอบเกียรติ ได้บอกหลายครั้งว่า “แชเล้งฮู้ก็ดีรูปหล่อบูชาองค์โจวซือก็ดี รูปถ่ายองค์โจวซือก็ดี รูปเหมือนผงเหรียญท่าน ฯลฯ” ของเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติของท่านและเป็นของสำเร็จแล้วทั้งสิ้นเมื่อทำขึ้นมาแล้วสามารถนำไปใช้ได้เลยไม่จำเป็นต้องนำมาให้ท่านปลุกเสกหรือประกอบพิธีใดๆ อีกทั้งสิ้น.. เพียงแค่เมื่อจะใช้ก็ให้รำลึกถึง “โป๊ยเซียนโจวซือ”แล้วค่อยตีวงให้แคบลงมาเป็นอธิษฐานเจาะจงถึง "ลือท่งปิงโจวซือ” แค่นี้ก็ใช้ได้แล้วทุกประการ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงโจวซือลื้อตงปิงพิมพ์ใหญ่ รุ่นแรกให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    เปิดดูไฟล์ 6573818 เปิดดูไฟล์ 6573819 เปิดดูไฟล์ 6573820
     

แชร์หน้านี้

Loading...